สยามพิวรรธน์ ใช้กลยุทธ์อะไรบุกเบิกต้นแบบ Luxury Destination ระดับโลก

แม้เศรษฐกิจโดยรวมยังคงมีความผันผวน แต่ “ตลาดลักซ์ชัวรี” ในประเทศไทยยังคงแสดงศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มูลค่าการจับจ่ายในกลุ่มสินค้าลักซ์ชัวรีเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันตลาดนี้ คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่รวดเร็วและหลากหลาย แม้ว่ากลุ่มลูกค้าหลักยังคงเป็น Gen Y แต่การเพิ่มขึ้นของความสนใจในสินค้าลักซ์ชัวรีในกลุ่ม Gen Z ได้กลายเป็นประเด็นที่น่าจับตามอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้ากลุ่มนี้ยังให้ความสำคัญกับสินค้าที่สะท้อนเอกลักษณ์และตัวตน เปลี่ยนนิยามของคำว่า “ลักซ์ชัวรี” ที่ไม่ใช่แค่ความหรูหรา หรือสินค้าราคาแพงหูฉี่มาโฟกัสและให้ความสำคัญกับเรื่อง “ประสบการณ์” มากยิ่งขึ้น

ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ สยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนา Luxury destination อย่าง สยามพารากอน และ ไอคอนสยาม บุกเบิกต้นแบบการพัฒนา Luxury Destination ด้วยการยกระดับการสร้างประสบการณ์ลักซ์ชัวรี เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตแห่งโลกอนาคต และเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้

การเดินเกมครั้งนี้ ก็เพื่อเติมเต็มประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้าได้เป็นที่แรกก่อนใคร และครบครันทั้งในมุมของสินค้าและบริการ แฟชั่น อาหาร ศิลปะ และวัฒนธรรม

จึงไม่น่าแปลกใจที่กลุ่มสยามพิวรรธน์ ยังครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันสูงสุด และมีรายได้ต่อตารางเมตรสูงสุดในประเทศไทย ด้วยศักยภาพแพลตฟอร์มที่ช่วยสร้างยอดขายสูงสุดในระดับภูมิภาค และบ่อยครั้งติดอันดับยอดขายสูงสุดของโลก

กลุ่มสยามพิวรรธน์ จึงเป็น Preferred destination สำหรับแบรนด์ชั้นนำที่ต้องการขยายธุรกิจในประเทศไทย เห็นได้จากการได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ลักซ์ชัวรีระดับโลกที่ต่างมาเปิดแฟล็กชิพสโตร์ คอนเซ็ปต์สโตร์ รวมถึงการร่วม Co-Create จัดกิจกรรมพิเศษ และการเปิดป๊อปอัปสโตร์ เปิดตัวคอลเลกชั่นใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งในสยามพารากอนและไอคอนสยาม

ในปี 2025 จะมีแบรนด์ใหม่อีก 15 แบรนด์ที่มาเปิดร้านแห่งแรกในประเทศไทย อาทิ Delvaux (เดลโวซ์) แบรนด์เครื่องหนังชั้นสูงจากเบลเยียม, Boucheron แบรนด์เครื่องประดับชั้นสูงจากฝรั่งเศส และ Faure Le Page (ฟอร์เล เลอ พาจ) แบรนด์แฟชั่นชั้นนำจากฝรั่งเศส

ยิ่งไปกว่านั้น สยามพิวรรธน์จะเปิดแฟล็กชิพสโตร์ แบบดูเพล็กซ์สองชั้นถึง 13 แห่ง จำนวนมากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย ดูเพล็กซ์ 6 แห่ง และทรีเพล็กซ์แบบสามชั้น 1 แห่ง ที่สยามพารากอน และดูเพล็กซ์ 6 แห่งที่ไอคอนสยาม

การเปิดร้านใหม่ของลักซ์ชัวรีแบรนด์ ยังแสดงถึงความสำคัญของประเทศไทยที่มีบทบาทมากขึ้นในอุตสาหกรรมลักซ์ชัวรีระดับโลก โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องประดับชั้นสูง (Fine Jewelry) และนาฬิกาหรู ซึ่งยังคงมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดลักซ์ชัวรีและกลุ่มลูกค้าใหม่ที่จะกลายเป็นลูกค้าหลักในอนาคต อย่างกลุ่ม Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของสินค้าอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น อย่างเช่น สินค้าหายากที่มีคุณภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานได้จริง และโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะสินค้าที่ผลิตในแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องมาจากแบรนด์ใหญ่เพียงเท่านั้น แต่ต้องมีความเป็น “ที่สุด” และยังคุ้มค่าในการลงทุนอีกด้วย

New World of Luxury Hermes at ICONSIAM
New World of Luxury Hermes at ICONSIAM

แนวคิดดังกล่าวทำให้เกิด 5 กลยุทธ์
สร้างต้นแบบ Luxury Destination ในแบบสยามพิวรรธน์ ได้แก่

1. Curation & Co-creation: คัดสรรแบรนด์ชั้นนำระดับโลกเพื่อมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้า
ด้วยการร่วมมือกับแบรนด์และพันธมิตรระดับโลก ผ่านการ Co-creation เพื่อสร้าง Ecosystem และนำเสนอประสบการณ์เหนือความคาดหมาย ทั้งสยามพารากอนและไอคอนสยามยังเป็นศูนย์กลางรวบรวมร้านค้าและแบรนด์ชั้นนำที่ครอบคลุมมากที่สุดในไทย

ร้านและแบรนด์ที่เป็นไฮไลท์ ได้แก่:

  • Delvaux (เดลโวซ์) เปิดตัวบูติกแห่งแรกในประเทศไทย ณ สยามพารากอน ถือเป็นการขยายฐานครั้งสำคัญสู่ภูมิภาคเอเชีย
  • Boucheron แบรนด์เครื่องประดับชั้นสูงจากฝรั่งเศส เตรียมเปิดบูติกแห่งแรกของประเทศไทยที่สยามพารากอน
  • Rolls-Royce เปิดโชว์รูมใหม่ ‘Galleria’ ในสยามพารากอน แห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก และอันดับ 5 ในเอเชีย

  • Chaumet แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ ไอคอนสยาม
  • Loewe ช็อปแห่งแรกในไทยที่เป็นรูปแบบ Loewe Casa ที่ สยามพารากอน

  • Prada เปิดบูติกสำหรับผู้ชายแห่งแรกในประเทศไทย ที่ สยามพารากอน

  • Dolce & Gabbana คอนเซ็ปต์สโตร์ใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ สยามพารากอน

  • BVLGARI เปิดดูเพล็กซ์แห่งแรกและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่ สยามพารากอน

2. Luxury for all นำเสนอสินค้าที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม แต่ยังคงความหรูหรามีเอกลักษณ์ โฟกัสไปที่การตอบความต้องการเฉพาะบุคคลที่ดีขึ้น

สยามพิวรรธน์เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสลักซ์ชัวรีแบรนด์ผ่าน Pop-up Stores ที่ผสมผสานระหว่างความล้ำสมัยและเอกลักษณ์เฉพาะตัว สะท้อนความเป็นตัวตน ซึ่งปีที่ผ่านมา มีหลายแบรนด์ดังที่เป็นที่ชื่นชอบของคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมสร้างปรากฏการณ์ในสยามพารากอนและไอคอนสยาม อาทิ

  • Chanel Coco Crush Exhibition ครั้งแรกในประเทศไทย
  • Gucci Ancora Pop Up ครั้งแรกในประเทศไทยในการเปิดคอลเลกชั่นแรกของครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนใหม่ Sabato de Sarno
  • Gentle Monster X Jennie Kim pop up แห่งเดียวในประเทศไทย
  • Lange & Söhne Precious in Motion Exhibition ครั้งแรกในประเทศไทย
  • Chanel L’ Avant – Premiere pop up ครั้งแรกในตะวันออกเฉียงใต้

3. Extraordinary Experience สร้างประสบการณ์ลักซ์ชัวรีแบบ Holistic Experience

ยกระดับความประทับใจจากการช้อปปิ้ง สู่การมอบประสบการณ์ครบวงจรในแบบ Holistic Experience ที่รวมทั้ง Luxury Dining งานศิลปะ และบริการพิเศษ  หลังจากที่กลุ่มสยามพิวรรธน์ ได้รับเกียรติให้ดำเนินการบริหาร Le Café Louis Vuitton ร้านคาเฟ่สุดหรูแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ และการเปิดประสบการณ์อาหารระดับมิชลินสตาร์ ด้วย Blue by Alain Ducasse (บลู บาย อลัง ดูคาส) ร้านอาหารฝรั่งเศสไฟน์ไดนิ่งร่วมสมัย ที่ไอคอนสยาม

นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการและอีเวนต์สุดพิเศษกว่า 20 งาน เช่น นิทรรศการศิลปะเฉพาะที่สยามพารากอนและไอคอนสยาม แสดงให้เห็นถึงการนำเอาเทคโนโลยีและโลกของดิจิทัลมาช่วยยกระดับประสบการณ์ที่แปลกใหม่ก้าวล้ำและน่าประทับใจ

Gentle Monster X Jennie Pop Up

4. New affluent community การสร้างฐานลูกค้ากำลังซื้อสูงคนรุ่นใหม่

ถึงแม้สยามพิวรรธน์ยังคงสามารถครองความเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงที่สุดในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง แต่บทบาทต่อไป คือการเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จ ด้วยการเพิ่มศักยภาพและยกระดับ Luxury CRM สำหรับลูกค้าสมาชิก (Membership) ในรูปแบบใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่ม Global citizen พร้อมกับการเปิดตัว JAI by ONESIAM ลักซ์ชัวรีไลฟ์สไตล์คลับระดับโลก เพื่อสร้างคอมมูนิตี้ที่ไร้พรมแดน นำเสนอประสบการณ์แบบ Exclusive ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ในกลุ่มลักซ์ชัวรีสู่มาตรฐานใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน

5. Sustainable luxury ส่งเสริมแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน

กลยุทธ์สำคัญสุดท้ายที่ขาดไปไม่ได้ คือการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการผลิต วัสดุ หรือการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสังคมและโลก รวมทั้งสนับสนุนแบรนด์พันธมิตรและผู้เช่าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน การจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มการรีไซเคิลและลดการฝังกลบ รวมถึงการดำเนินการและแสวงหาพลังหมุนเวียน (Renewable Energy) ทั้งแบบ On-site และ Off-site เพื่อการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ร่วมกัน

และในปี 2024 ‘สยามพิวรรธน์’ ยังตอกย้ำผู้นำ Luxury Destination โดยแท้จริง ด้วยรางวัลจากทั่วโลกที่ไอคอนสยามได้รับ ไม่ว่าจะเป็น

–  Asia’s Most Innovative Shopping Experience จาก Cathay Members’ Choice Awards 2024
– ได้รับการจัดอันดับโดย CNBC ให้เป็นหนึ่งในที่สุดของ Luxury Destination ในประเทศไทย
– อันดับ 4 ของโลกที่ถูกยกย่องเป็นจุดหมายปลายทางลักซ์ชัวรีที่ดีที่สุดในเอเชีย จัดอันดับโดย Luxurious by Marketing Mentor
– Best Luxury Shopping Mall in Thailand จาก Luxury Lifestyle Awards 2024
– รางวัล Iconic Thai Brand จาก Tatler Asia

การบุกเบิกสร้างต้นแบบ ของ สยามพิวรรธน์ ไม่เพียงแต่ตอกย้ำความแข็งแกร่งในฐานะ Luxury Destination ระดับโลก แต่ยังสะท้อนถึงการทำธุรกิจที่ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาและยกระดับประสบการณ์ใหม่ ๆ สำหรับลูกค้า ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน และมองไกลถึงอนาคตอีกด้วย

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer