ระเฑียร ศรีมงคล เป็นคุณหมอนักบริหารคนหนึ่งของเมืองไทย ที่ชีวิตพลิกผันจากการรักษาคนไข้เข้ามาสู่แวดวงการเงิน

เขาจบคณะแพทยศาสตร์ (ศิริราช) มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จากคุณหมอรักษาโรคทั่วไปเริ่มเข้าสู่วงการธนาคาร จนก้าวขึ้นมาเป็น CEO ของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ในปี 2555 เป็นบทบาทสำคัญที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาเป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับในแวดวงการเงินมากขึ้น
ในปี 2554  KTC มีตัวเลขขาดทุนถึง 1,621 ล้านบาท ระเฑียรสามารถทำภารกิจพิชิตกำไรได้ตั้งแต่ปีแรกด้วยเม็ดเงิน 255 ล้านบาท
ปี 2566 ปีสุดท้ายของการทำงานนั้น KTC มีกำไรสุทธิถึง 7,295 ล้านบาท  เป็นเงินกำไรที่เติบโตต่อเนื่องมาตลอดอายุการทำงาน 12 ปีของเขา แม้จะต้องเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจระลอกแล้วระลอกเล่า

เขาคืออัศวินขี่ม้าขาวของชาว KTC ในช่วงนั้น

บนความสำเร็จที่น่าภูมิใจ  เขาเล่าให้ “Marketeer” ฟังว่า ในชีวิตการทำงานของเขาที่ผ่านมาภาพความสำเร็จอาจจะเห็นได้ชัดเจน  แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้นมีหลาย ๆ เรื่องที่เขาทำแล้วล้มเหลว แต่ไม่มีใครรู้

 “ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ มีหลายครั้งที่ผมทำผิดพลาด แต่ทุกอย่างผมจะทำเหมือนเดิมหมด การที่ผมมีวันนี้ได้เพราะความล้มเหลวหลายอย่างในอดีตที่กลายเป็นบทเรียนให้เราได้พบช่องทางแห่งความสำเร็จ และทำให้เกิดสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิมขึ้นมา”  

แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยอมรับว่าบริบทของโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว บทเรียนในอดีตอาจจะใช้ไม่ได้ในวันนี้  ดังนั้น ผู้นำต้องพยายามปรับตัวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด

ผมอาจโชคดีที่ไม่เคยหยุดเรียนรู้ เพราะเมื่อไม่หยุด ก็เท่ากับได้เรียนรู้อยู่เสมอ แม้มันจะยาก เพราะเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน แต่ความยากนั้นกลับทำให้ผมคุ้นเคยกับความท้าทาย และมั่นใจว่าเดี๋ยวก็ผ่านไปได้ แล้วก็จะอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ต่อไป เพื่อเอาชนะมันให้ได้อีกเรื่อย ๆ”

 เหมือนการออกกำลังกายถ้าเราทำมันอย่างสม่ำเสมอ ก็จะรู้สึกว่าเราไม่ได้ต้องบังคับตัวเองให้ดูแลสุขภาพเลย เพราะดูแลมาตลอด  

แต่ถ้าอะไรไม่เคยทำแล้ว ต้องบังคับตัวเองว่าต้องออกกำลังกายต้องสนใจเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ อาจจะทำได้ยากแล้วอาจจะกลายเป็นอุปสรรคในการทำงาน

“สำหรับผมไม่ว่าวัยไหน อุปสรรคของชีวิตการทำงานไม่มี อยากจะเรียนรู้อะไรก็ไปเริ่มต้น มันจะยากตอนต้น ๆ เท่านั้นเองครับ”

 หลงใหลในการวางกลยุทธ์และไล่ล่าชัยชนะในทุกเกม 

ระเฑียรมองการทำงานเหมือนการเล่นเกม เขาคิดกลยุทธ์อยู่เสมอว่าจะทำอย่างไรถึงจะชนะในแต่ละเกม แม้ว่าอุตสาหกรรมที่เขาอยู่จะอยู่ในช่วงยากลำบาก แต่ก็ยังมีคนที่สามารถฝ่าฟันและประสบความสำเร็จได้  คำถามคือ พวกเขาทำได้อย่างไร? และถ้าสุดท้ายแล้วเราพบว่าเส้นทางนี้ไม่ควรเดินต่อจริง ๆ เราก็ต้องกล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาด และลงมือทำอย่างชัดเจน

ที่สำคัญต้องกล้าที่จะทำ ต้องหาทีมที่พร้อมที่จะไปกับเรา แล้วเราก็ต้องกล้าที่จะจัดการกับคนที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของทีม

“และทุกครั้งที่ได้ขบคิดและเอาชนะ เป็นเหมือนเชื้อไฟที่จุดประกายแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้ผม อยู่เสมอ”

การเป็นผู้นำต้องอาศัยความกล้าในหลาย ๆ เรื่อง ถ้าเราบอกว่าดีแล้ว ไม่เดือดร้อนอะไร จะคิดใหม่ทำใหม่ทำไม มันก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเรายังสนุกที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีกว่านี้ เราก็ต้องทำ

“ผู้นำสำคัญเสมอ ผมบอกได้เลยว่าการที่จะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยผู้นำและทีม อาจจะต้องใช้เวลานานพอสมควร แต่บริษัทอาจจะล้มเหลวได้ในเวลาอันรวดเร็ว จากการตัดสินใจและการกระทำของผู้นำเพียงคนเดียวได้เช่นกัน”

ผู้นำที่ดี คือ

เรื่องของ Hard Skill อาจจะไม่ใช่หัวใจที่สำคัญที่สุด แต่ต้องมีด้าน Soft Skill ด้วย โดยการสร้าง Trust หรือศรัทธาให้เกิดขึ้นกับคนในองค์กรได้

Trust จะเกิดขึ้นได้ 1. ผู้นำต้องเป็นคนที่ห่วงใยบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งคนใต้บังคับบัญชา หุ้นส่วนธุรกิจ และพาร์ตเนอร์ 2. ต้องทำให้ลูกน้องกล้าที่จะแสดงความเห็นที่แตกต่างได้  3. ต้องเป็นคนที่ชัดเจน ไม่โลเลพูดกลับไปกลับมา 4. ต้องเป็นคน Fair คือคนทำมากต้องได้มาก คนที่ไม่ทำต้องได้น้อย

นอกจากนั้น ผู้นำต้อง สร้าง Momentum สามารถทำในสิ่งที่เราทำมาแล้วอย่างต่อเนื่อง และตอบสนองต่อไปได้ในอนาคต

Momentum จะเกิดขึ้นได้ ผู้นำต้องเป็นคนที่มี  1. Motivation สร้างแรงกระตุ้น แรงจูงใจให้กับทีมงานได้ 2. Confidence คือต้องมีความมั่นใจในผู้ใต้บังคับบัญชา และต้องมีความมั่นใจในงานที่ตัวเองจะทำและ 3. ต้องมี Empowerment คือการสนับสนุนลูกน้อง ทำให้เขาเติบโต แล้วกล้าที่จะตัดสินใจ กล้าดำเนินการทำงานอะไรก็ตามได้ในวันที่ไม่มีเรา

และผู้นำต้องมี Connection ที่ดีทั้งกับพนักงาน Stakeholder Partner และสื่อมวลชน

 Wisdom on fire ในวัย 60 +

เดิมเคยตั้งใจว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เกษียณจากเคทีซี ก็จะไปเป็นกรรมการตามบริษัทต่าง ๆ ที่ใช้เวลาไม่มาก จะได้มีโอกาสไปใช้เงินที่สะสมมาตลอดชีวิตบ้าง

แต่ในปี 2567 ระเฑียร ตัดสินใจเข้ามานั่งตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG บริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านการเงินและการลงทุน  ที่มีบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 11.41% ปีที่ผ่าน XPG  มีรายได้รวม เท่ากับ 911 ล้านบาท  มีกำไรสุทธิที่ 161 ล้านบาท

ท่ามกลางความคาดหวังจากหลาย ๆ คนว่าเขาจะสามารถจะติดปีก‘เอ็กซ์สปริง พลิกองค์กร สร้างกำไรมากมายเหมือน KTC หรือไม่

ระเฑียรอธิบายว่า 2 องค์กรนี้ต่างกัน เคทีซี อยู่ในช่วงขาดทุนต้องการ turnaround ทุกคนในบริษัทรู้ว่ามีปัญหา พร้อมเปลี่ยนตัวเอง แต่ที่นี่ไม่ได้มีปัญหาแบบนั้น การที่จะบอกให้เขาเปลี่ยนอาจจะยากกว่า

 “เข้ามาปีกว่า ๆ มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ปีที่แล้วเป็นปีที่ผมมองว่าผมไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก ถึงแม้กำไรจะเพิ่มขึ้น 51% จากปีก่อนก็ตาม  แต่คิดว่าผมควรจะทำได้ดีกว่านี้”  

ผมอยากจะตำหนิตัวเองว่าไม่กล้าที่จะทำอะไรบางอย่างให้มันเด็ดขาด อย่างที่ควรจะเป็น  อาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมาที่เราประสบความสำเร็จส่วนหนึ่งก็คืออยู่ในสถานการณ์ do or die คือถ้าไม่ทำให้สำเร็จเราก็แย่ แต่ที่นี่ไม่ได้ขนาดนั้น ดังนั้น ความ aggressive ของผมเลยลดลง

“ตอนเราหนุ่ม ๆ เวลาทำงานเราไม่ค่อยคิดเรื่องคนเท่าไร เพราะไม่ค่อยสนใจความรู้สึกของคนมากนัก แต่พออายุมากขึ้นผ่านชีวิตมากขึ้นก็จะมีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนขึ้น เห็นอกเห็นใจคนมากขึ้น อาจจะกลายเป็นจุดด้อยในการบริหารงานในช่วงวัยนี้ของผม แต่เราก็เป็นมนุษย์”

ปีนี้ก็คงต้องทำอะไรมากขึ้น ความท้าทายอย่างหนึ่งคือ เราต้องอธิบายสังคมให้เข้าใจได้มากกว่านี้ว่าเราคือใคร กำลังทำอะไร ขายอะไร มีความจำเป็นกับชีวิตเขาอย่างไร  คือต้องทำแบรนด์ให้ใกล้ชิดกับคนมากขึ้น  

“ผมตกผลึกเรื่องนี้ในแง่ความคิดน่ะใช่  แต่การแปลงความคิดเป็นวิธีการ มันเป็นเรื่องสำคัญกว่า นักวางแผนวางกลยุทธ์ ที่เก่ง ๆ อาจต้องตกม้าตายก็เพราะไม่มีคนทำ”

นี่คือความท้าทายสำหรับงานใหม่ ผมว่าธุรกิจไม่ได้ยาก ต่อให้เป็นธุรกิจที่คนบอกว่าอยู่ในซันเซตแล้ว แต่ผมมองว่าทุกอย่างมีโอกาส และผมก็อยู่ในสิ่งนี้มาตลอด

เขาย้ำว่าว่าปัจจัยที่จะทำให้องค์กรถดถอยได้มากที่สุด คือการเพิกเฉยกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น และพนักงานยังมีความสบายใจกับสิ่งที่เป็นอยู่

ในวัยเกษียณ ระเฑียรบอกว่าเขาได้มีโอกาสเจอเพื่อนฝูงในวัยเดียวกันหลายคนที่มีปัญหา มาปรึกษาว่าจะเอาเงินเก็บที่มีไปลงทุนทำอะไรดี  คนกลุ่มนี้อาจไม่ได้สนใจเรื่องออมทรัพย์มาก่อน รัฐก็ไม่ได้มีหน่วยงานให้ความรู้ในเรื่องนี้ และเขาก็ไม่ได้มีความกล้ามากพอที่จะไปปรึกษา  Financial Advisor หรือ Wealth Advisor ตามธนาคาร หรือบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ

ดังนั้น สิ่งที่เขาสนใจพิเศษในตอนนี้ก็คือ ทำอย่างไรให้กลุ่มเพื่อนฝูงและคนรู้จักได้ลงทุนได้อย่างปลอดภัย และมีรีเทิร์นที่สม่ำเสมอ  

“การลงทุนไม่ใช่เรื่องยากถ้าไม่โลภ แต่ถ้ามีเงินแล้วบอกว่าต้องการผลตอบแทน 30%  ผมก็ว่ามันมากไปนะ  แน่นอนถ้าเราต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่านี้มันก็ต้องมีความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วอะไรที่เป็นความเสี่ยงที่น่ารับได้สำหรับคนอายุระดับเรา จะมีความซับซ้อนอยู่บ้าง แต่เป็นเรื่องที่อธิบายเพื่อนฝูงไม่ได้ยาก”

พอคิดถึงเรื่องนี้ ผมจะมองเป็นธุรกิจน้อยลง  เพราะอย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนเขาก็ต้องการผลตอบแทน ส่วนในแง่ส่วนตัวที่เราอยากทำไม่มีขาดทุน แต่อาจจะมีกำไรน้อยมาก  เพื่อบริการเฉพาะคนกลุ่มหนึ่ง เป็นการทำเพื่อความสบายใจของเรา และมีความรู้สึกว่าได้ทำหน้าที่ของความเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้อง

ชีวิตนอกโต๊ะทำงาน เวลานอกห้องประชุม

เมื่อก่อนผมชอบดูหนังมาก แต่พอรู้ว่าชอบอะไรแล้วจะติดทำให้มันเสียเวลาก็จะหยุด หนังเรื่องเดียวที่ดูในโรงเมื่อเร็ว ๆ นี้คือเรื่อง “Nezha 2”  เป็นหนังการ์ตูนแอนิเมชัน หลังไม่ดูมานาน 5 ปี อย่างโชเชียลมีเดียผมก็ไม่ชอบ กลัวติดใจ จะเข้าเฉพาะเว็บที่ให้ความรู้ กับฟังเพลงเท่านั้น

สุดท้าย ระเฑียร ศรีมงคล มีความเห็นถึงคนรุ่นใหม่ว่า เด็กยุคดิจิทัล ส่วนใหญ่ ใจร้อน ความอดทนน้อย อยากให้ใจเย็นมากขึ้น ในโลกการทำงานจริง ๆ งานกว่าจะเสร็จต้องใช้เวลา ต้องใช้ความอดทนรอ สิ่งที่เราคาดหวังมันจะค่อย ๆ เกิด ไม่ได้เกิดทันทีแน่นอน ♦

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer