“สงครามส่งด่วน” ซีรีส์ไทยที่ดีและเดือดมากที่สุดในเวลานี้บน Netflix และทำให้ธุรกิจขนส่งถูกกล่าวถึงอย่างมากในเวลานี้
ต่อให้ไม่ใช่สายธุรกิจก็ไม่ควรพลาด เพราะซีรีส์ไทยเรื่องนี้ครบทุกรสชาติ ดูเอาสนุก เอาความรู้ เอาข้อคิด ก็ติ๊กถูกได้ทุกช่อง
แต่ซีรีส์เรื่องนี้อาจจะถูกตัดจบทันที ถ้าสันติไม่รับปากไปส่งชามข้าวสุนัขให้เสี่ย เพราะการเดินทางของตัวละครเริ่มมาจากจุดนี้เลย นั่นคือการบังเอิญไปส่งพัสดุที่ขนส่งในประเทศจีน และได้เห็นว่าราคาเริ่มต้นเพียง 5 หยวนทั่วประเทศ จึงปิ๊งไอเดียธุรกิจขึ้นมา
ย้อนกลับมามองในไทย EP.1 ที่สันติเอาเงินเดือนอันน้อยนิดเจียดไปซื้อคุกกี้ เพื่อส่งกลับไปให้ครอบครัวบนดอย แต่ค่าส่งกลับแพงลิ่วจนเกือบจะเท่าราคาคุกกี้ของเขาอยู่แล้ว ราคาส่งพัสดุในไทยเรทเริ่มต้น 50 บาท
เมื่อไปเจอขนส่งจีนที่ราคาเริ่มต้น 5 หยวน ทำให้เขาถึงกับทึ่งในความถูก และมองว่านี่แหละคือโอกาส

กลับมาว่ากันต่อ แล้วทำไมธุรกิจส่งด่วนจีนจึงมีราคาถูกกว่าประเทศอื่นมาก
นั่นก็เพราะข้อได้เปรียบทั้งด้านโครงสร้าง ระบบขนส่ง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีที่วางระบบมาอย่างดี
7 เหตุผลหลักที่การจัดส่งแบบด่วนในจีนมีราคาถูก
1. Economies of scale
จีนมีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก คิดดูว่าหากคนเหล่านี้สั่งของออนไลน์พร้อมกัน ขนส่งต้องจัดการพัสดุหลายพันล้านชิ้น ซึ่งขนส่งจีนต้องจัดส่งพัสดุมากกว่า 100,000 ล้านชิ้นต่อปี ปริมาณมหาศาลของพัสดุอีคอมเมิร์ซ (โดยเฉพาะจากแพลตฟอร์มอย่าง Taobao, JD และ Pinduoduo) ทำให้ต้นทุนต่อชิ้นถูกลง
2. ทุนหนาอุดหนุน
การแข่งขันของบริษัทขนส่งในจีนก็ดุเดือดเลือดพล่านไม่ต่างจากไทย จีนมีบริษัทขนส่งรายใหญ่ อาทิ STO, YTO, ZTO, Yunda และ SF Express ซึ่งต้องเผชิญสงครามราคาเช่นกัน แต่บริษัทขนส่งในท้องถิ่นหลายแห่งยังอยู่ได้แม้มีกำไรน้อย เพราะได้รับเงินอุดหนุนจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
3. ต้นทุนแรงงานที่ต่ำ
แม้ว่าค่าจ้างจะเพิ่มขึ้นแล้วในปัจจุบัน แต่ต้นทุนแรงงานค่อนข้างต่ำมาหลายปีแล้ว ประกอบกับพนักงานส่งของจำนวนมากเป็นคนงานชั่วคราว ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลง
4. โครงสร้างพื้นฐานที่ปูทางไว้หมดแล้ว
จีนได้สร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมคลังสินค้า ศูนย์คัดแยก ศูนย์กลางโลจิสติกส์อัจฉริยะ คือพัสดุจะถูกจัดเรียงโดยอัตโนมัติในศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่โดยใช้แรงงานน้อยที่สุด มีหุ่นยนต์คัดแยกที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพิ่มประสิทธิภาพและลดความต้องการแรงงาน ตลอดจนการขนส่งความเร็วสูง
นอกจากนี้ ยังมีการจัดส่งด้วยโดรน ล็อกเกอร์อัจฉริยะ และการใช้ Big Data เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทาง ช่วยกำหนดเส้นทางอัจฉริยะที่ทำให้บริการจัดส่งอาจจัดส่งพัสดุได้ถึง 100 ชิ้นต่อวันในรัศมีที่แคบ ทำให้ต้นทุนต่อพัสดุลดลง

5. การสนับสนุนจากรัฐบาล
รัฐบาลจีนได้ลงทุนอย่างหนักในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและพื้นที่ห่างไกล มีนโยบายส่งเสริมการจัดส่งที่รวดเร็วและต้นทุนต่ำเพื่อสนับสนุนการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ
6. ความหนาแน่นของเมือง
เมืองต่าง ๆ ในจีนมีประชากรหนาแน่น ทำให้เส้นทางการจัดส่งสั้น และมีประสิทธิภาพกว่า พนักงานส่งของสามารถจัดส่งพัสดุได้มากขึ้นต่อชั่วโมงเมื่อเทียบกับประเทศที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า
7. โปรโมชันช่วยเรื่องค่าจัดส่งของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซ เช่น Alibaba หรือ JD.com มักจะสนับสนุนค่าขนส่ง เช่น ส่งฟรี หรือให้ส่วนลดค่าจัดส่ง บางแพลตฟอร์มใช้บริการจัดส่งฟรีหรือเกือบฟรีเป็นกลยุทธ์การตลาดเลย เพื่อให้ราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ จูงใจให้เกิดการซื้อที่มากขึ้น
ตลาดส่งด่วนจีนใหญ่ที่สุดในโลก
ตลาดการจัดส่งด่วนของจีนถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งในแง่ของปริมาณพัสดุ และ Market Size ตลาดการจัดส่งด่วนของจีนปี 2024 มีรายได้ประมาณ 170,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 5.5 ล้านล้านบาท (เป็นตัวเลขที่รวมถึงรายได้จากการจัดส่งภายในประเทศ การส่งพัสดุข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ การจัดเก็บสินค้า และบริการเสริม) คาดการณ์ว่าปี 2025 จะเกิน 190,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 6.1 ล้านล้านบาท อัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ราว 10–12%
ด้วยความที่จีนมีแพลตฟอร์มออนไลน์ข้ามพรมแดน เช่น AliExpress, Temu, Shein เป็นต้น ส่งผลให้จีนเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน รายได้จากการจัดส่งแบบด่วนจากตลาดต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 30,000–35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้านปริมาณพัสดุรวมในปี 2023 อยู่ที่ 132,000 ล้านชิ้น คาดการณ์ว่าปี 2024 จะมากกว่า 150,000 ล้านชิ้น
มีผู้เล่นหลักแบ่งตาม Market Share ได้ดังนี้
ZTO Express ประมาณ 20%
YTO Express ประมาณ 15%
Yunda Express ประมาณ 12%
STO Express ประมาณ 10%
SF Express ประมาณ 8–10% (กลุ่มพรีเมียม)
นับเป็นการส่งพัสดุประมาณ 400 ล้านชิ้นต่อวัน (ตัวเลขในช่วงไฮซีซัน เช่น วันคนโสด 11.11) เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกาจำนวนการจัดส่งพัสดุอยู่ที่ประมาณ 25,000–30,000 ล้านชิ้นต่อปี ส่วนยุโรปอยู่ที่ประมาณ 15,000–20,000 ล้านชิ้นต่อปี
เปรียบเทียบค่าขนส่งจีน-สหรัฐฯ-ยุโรป
ค่าจัดส่งแบบด่วนของจีนคิดเป็นประมาณ 1 ดอลลาร์ ในขณะที่ประเทศอื่นที่ยกมาเปรียบเทียบไม่สามารถเสนอราคาเท่านี้ได้ เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาและยุโรปจะแพงกว่ามาก เพราะค่าแรงขั้นต่ำที่สูงกว่าทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ประกอบกับระยะทางที่ไกล ความหนาแน่นของประชากรที่ไม่เท่าจีน การจัดส่งต่อเส้นทางก็จะน้อยลง และรัฐบาลไม่มีเงินสนับสนุนค่าส่งเท่าจีน
-เปรียบเทียบค่าขนส่งของพัสดุขนาดเล็ก (Cost of Small Parcel Domestic)
จีน : 0.50–2.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (often subsidized)
สหรัฐฯ : 7–15 ดอลลาร์สหรัฐฯ (USPS, UPS, FedEx)
ยุโรป : 6–12 ดอลลาร์สหรัฐฯ (DHL, La Poste, etc.)
-ระยะเวลาขนส่งพื้นฐาน
จีน : 1–3 วัน (ทั่วประเทศ)
สหรัฐฯ : 2–5 วัน
ยุโรป : 2–7 วัน
ทำไมธุรกิจเจ๋ง ๆ ส่วนใหญ่เริ่มต้นจากประเทศจีน
แนวคิดทางธุรกิจจำนวนมากเริ่มต้นจากจีนเนื่องมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าไปมากกว่าประเทศอื่น ๆ ทำให้การพัฒนานวัตกรรมและการพัฒนาธุรกิจเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยจำนวนประชากรที่มีอยู่กว่า 1.4 พันล้านคน สร้างความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการจำนวนมาก เป็นโอกาสที่ดีของธุรกิจที่สามารถทดสอบแนวคิด และขยายขนาดได้อย่างรวดเร็วภายในจีนก่อนที่จะขยายไปทั่วโลก
และผู้บริโภคชาวจีนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ยังปรับตัวเข้ากับเทรนด์ใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว (เช่น การช้อปปิ้งผ่านไลฟ์สตรีม การชำระเงินดิจิทัล โซเชียลคอมเมิร์ซ ซึ่งสร้างสภาพแวดล้อมแบบไดนามิกที่ทำให้นวัตกรรมพัฒนาได้รวดเร็ว
ที่สำคัญรัฐบาลจีนมักจะสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยการให้เงินอุดหนุน และสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ดีไว้ผลักดันผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยี การผลิต และพลังงานสีเขียว

มากไปกว่านั้นจีนมี Ecosystem ที่แข็งแกร่ง เรียกได้ว่าเป็น “โรงงานของโลก” ก็ว่าได้ ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขึ้นแบบสินค้าได้อย่างรวดเร็ว หรือผลิตสินค้าล็อตใหญ่ได้ในต้นทุนที่ต่ำ
โดยสรุป คือ ความได้เปรียบของจีนอยู่ที่จำนวนประชากร พฤติกรรมผู้บริโภคที่มักจะเป็นผู้นำเทรนด์อยู่เสมอ ได้นโยบายของรัฐบาลมาสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพ ความสามารถในการผลิตภายในประเทศ ระบบนิเวศทางเทคโนโลยี แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และโครงสร้างพื้นฐานที่ก้าวหน้า ตลาดขนส่งมีการแข่งขันอยู่ตลอดไม่เคยหยุดนิ่ง ทำให้ตลาดเกิดการขับเคลื่อนยกระดับให้ดีขึ้นอยู่ตลอด มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ การแข่งขันทำให้ขนส่งของจีนมีทั้งประสิทธิภาพ ความเร็ว และราคาถูกอยู่เสมอ
