ในยุคที่ดนตรีไม่ได้เป็นแค่ ‘บทเพลง’ แต่เป็นส่วนหนึ่งของ ‘ไลฟ์สไตล์’
งานสัมมนาด้านการตลาด ‘AssetWise Presents Marketing Oops! Summit 2025’ เซกชั่น จากศิลปินนักเปียโน สู่ ผู้สร้างแพลตฟอร์ม: เมื่อ มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง เปลี่ยนไปสู่การเชื่อมต่อไลฟ์สไตล์

ภาวิต จิตรกร / ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร
ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร ศิลปินมากความสามารถ เจ้าของรายการ ‘Piano & i’ ขึ้นเวทีถ่ายทอดแนวคิดการใช้รายการดนตรีให้เป็นมากกว่าความบันเทิง แต่เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างการเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับผู้คน
ทั้งร่วมเปิดมุมมองใหม่ ๆ กับ ภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค ที่จะพาเจาะลึกแนวคิดการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเพลง และวิธีที่แบรนด์สามารถสร้างความหมายร่วมกับผู้บริโภคผ่านเสียงดนตรีในยุคมิวสิค อินฟราสตรัคเจอร์ ที่บริษัทเพลงต้องครอบคลุมการให้บริการและสร้างมูลค่าในทุกมิติรับมือพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล
การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมเพลง
ภาวิต: ภาพรวมอุตสาหกรรมเพลงไทยตลอด 50-60 ปีที่ผ่านมา จากยุคมิวสิค บิสิเนส ขับเคลื่อยด้วยค่ายเพลงใหญ่อย่างแกรมมี่, อาร์เอส ที่มีการปั้นศิลปิน และขายผลงานเป็นเทป-ซีดี เปลี่ยนผ่านมามาสู่ยุคมิวสิค อินฟราสตรัคเจอร์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงมาก ๆ ในส่วนของการทำมิวสิค มาร์เก็ตติ้ง
ศักดิ์สิทธิ์: จากเดิมการทำมิวสิค มาร์เก็ตติ้ง คือการที่นักร้องเป็นแบรนด์พรีเซนเตอร์ในฐานะศิลปิน แต่ในยุคโซเชียลมีเดีย ผู้บริโภครู้มากขึ้น สัมผัสได้ถึงความจริงใจ ศิลปินต้องวางตัวเป็นพาร์ตเนอร์กับแบรนด์ในระยะยาว
ทั้งอุตสาหกรรมเพลงปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเร็ว เนื่องจากการเข้ามาของยุคดิจิทัล ตอนนี้ผลงานเพลงมีเวลาดึงดูดผู้บริโภคแค่ 3-4 วินาทีก่อนจะถูกปัดคอนเทนต์หนี
ศิลปินจึงต้องมีความชันเจนในตัวตน มองหากลุ่มเป้าหมายของตัวเองให้เจอ และวางกลยุทธ์การสื่อสารทั้งในบทบาทศิลปินและการเป็นเจ้าของแบรนด์ตนเอง

จากศิลปินสู่ผู้สร้างแพลตฟอร์ม
ศักดิ์สิทธิ์: แรกเริ่มที่ทำรายการ Piano & i หลายคนมองว่าคือรายการโคฟเวอร์บนยูทูบที่ตนเองเล่นเปียโนและร้องเพลงร่วมกับศิลปินรับเชิญ รายการถูกเปรียบเปรยว่าจะเป็น ‘ข้าวมันไก่’ ซึ่งอร่อยแต่คนก็ไม่ได้อยากกินทุกวัน
แต่จริง ๆ แล้วตนเองตั้งใจให้รายการเป็น ‘ข้าว’ ที่กินกับกับข้าวอะไรก็อร่อย ซึ่งนั่นคือหัวใจของ Piano & i และรายการต้องมีจุดเด่นชัดเจน ขึ้นอินโทรรายการมา 5 วินาที ผู้ชมต้องรู้ทันทีว่ากำลังดูรายการเรา
ทั้งการวางให้ Piano & i กลายเป็นแพลตฟอร์ม ที่เชื่อมต่อระหว่างศิลปิน แบรนด์ และผู้ชมทุกเจนเนอเรชั่น ตนเองก็ได้ทำในสิ่งที่รักอย่างการเล่นเปียโน ศิลปินรับเชิญก็ได้ร้องเพลงในอีกสไตล์ ผู้ชมก็ได้ฟังเพลงในเวอร์ชั่นใหม่ ส่วนแบรนด์ก็ได้สร้างภาพลักษณ์ที่มีไลฟ์สไตล์และความคิดสร้างสรรค์
ภาวิต: ช่วงหลายปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมแพลงถูกตั้งคำถามว่ากำลังอยู่ในช่วงขาลง แต่จากมุมมองการเปลี่ยนดนตรีให้กลายเป็นแพลตฟอร์มของ Piano & i สะท้อนชัดเจนว่าสิ่งที่ตายคือ ‘ดีไวซ์ที่ใช้เล่นเพลง’ ไม่ใช่ ‘คอนเทนต์ของเพลง’ ซึ่งยังพัฒนาได้เสมอ
มุมมองการทำมิวสิค มาร์เก็ตติ้งร่วมกับแบรนด์
ศักดิ์สิทธิ์: ตนเองกับแบรนด์ต้องสะท้อนเป้าหมายเดียวกันในการส่งมอบประสบการณ์ และความสุขให้เข้าถึงผู้ชม
AssetWise เป็นแบรนด์แรกที่เข้าใจแนวทางของ Piano & i และอยู่กับรายการมาตั้งแต่วันแรก เป็นความสัมพันธ์ระยะยาว การทำมิวสิค มาร์เก็ตติ้งร่วมกัน จึงเป็นการสร้างคอมมูนิตี้
อย่างเช่น การร่วมกับแบรนด์นำเสนอสถานที่ถ่ายทำรายการที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ โฟกัสอยู่ในพื้นที่อยู่อาศัยและครีเอทีพลีฟวิ่งของ AssetWise แทนที่การถ่ายอยู่ในสตูดิโอ เกิดเป็นการเชื่อมโยงแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพ และสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ ในฐานะแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่มีไลฟ์สไตล์
ภาวิต: สิ่งที่ Piano & i นำเสนอ สะท้อนถึงตัวอย่างที่ดีของการทำตลาดของแบรนด์ที่มากกว่าแค่เพื่อผลสำเร็จทางตัวเลข แต่คือการนำเสนอคอนเทนต์ที่แบรนด์สามารถสร้างความหมายร่วมกับผู้บริโภคผ่านเสียงดนตรีผ่านการมาบรรจบกันระหว่างแบรนด์ ดนตรี และไลฟ์สไตล์
ข้าวกินกับอะไรก็อร่อย
ศักดิ์สิทธิ์: พอวาง Piano & i เป็นข้าวที่กินได้กับทุกอย่าง หนึ่งในฟอร์แมตของแพลตฟอร์มอย่างคอนเสิร์ต ก็สามารถนำเสนอแนวเพลงในแต่ละคอนเสิร์ตที่หลากหลาย ตั้งแต่อินดี้ ป็อป หรือแม้แต่ร็อก
ส่งผลให้ 50% ของกลุ่มผู้มาชมคอนเสิร์ต Piano & i เป็นกลุ่มมาซ้ำ และมีสัดส่วนถึง 50% เป็นกลุ่มใหม่ที่ตรงกับแนวเพลงในรอบคอนเสิร์ตนั้น ๆ เกิดการแลกเปลี่ยนคอมมูนิตี้ระหว่างกันไปในตัว
ภาวิต: พอ Piano & i เป็นแพลตฟอร์ม ในมุมมองของนักการตลาดก็สามารถสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ได้หลากหลายเจนเนอเรชั่น ทั้งเป็นการแบ่งปันเรื่องราวระหว่างศิลปิน ผู้ชม และแบรนด์ ผ่านอารมณ์ ความรู้สึก และไลฟ์สไตล์
