หนึ่งในเรื่องราวที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในศึก US Open ปีนี้ ไม่ใช่ผลการแข่งขันที่พลิกล็อกหรือดราม่าข้างสนาม แต่กลับเป็นลุคใหม่ของแชมป์เก่าอย่าง Carlos Alcaraz ที่มาพร้อมทรงผมสั้นเกรียนและเสื้อกล้ามสีชมพูบาร์บี้ 

ปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนไปเป็นคนแต่งตัวจัดหรือสายแฟของนักเทนนิสชาวสเปนเป็นตัวอย่างล่าสุดที่ชี้ให้เห็นว่า แกรนด์สแลมสุดท้ายของปี ไม่ได้ดึงดูดความสนใจแค่ฝีมือในสนาม แต่ยังเป็นเวทีแจ้งเกิดของสไตล์แฟชั่นได้อีกด้วย 

ไม่ได้มีแต่ Carlos Alcaraz ที่เป็นสายแฟในทัวร์นาเมนต์นี้ โดย Naomi Osaka แม้จะพ่ายตกรอบไป แต่เธอก็ทิ้งความประทับใจไว้ด้วยชุดแจ็กเก็ตซิปอัพสีครามจาก Nike ที่สั่งทำพิเศษและประดับด้วยคริสตัล Swarovski อย่างวิบวับ สวมทับมินิเดรสดีไซน์เก๋ พร้อมลาบูบู้ประดับเพชร 

หรือในแมตช์เปิดสนามที่เธอมาพร้อมเครื่องหัวรูปดอกกุหลาบ โดยยอมรับว่าชุดของเธอเป็นสายแฟแบบจัดเต็ม แต่นี่คือสิ่งที่แฟนๆ ของเธออยากเห็น 

ด้าน Novak Djokovic ก็ไม่น้อยหน้า เมื่อ Lacoste แบรนด์ผู้สนับสนุนของเขาได้ออกคอลเลกชันพิเศษ “GOAT” (Greatest of All Time หมายถึงสุดยอดนักกีฬา) ที่เปลี่ยนโลโก้รูปจระเข้อันโด่งดังให้กลายเป็นรูปแพะ (พ้องกับคำว่า GOAT ที่แปลว่าแพะ) 

แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาที่สุดคือแจ็กเก็ตวอร์มสีขาวที่เขาใส่เดินลงสนาม ซึ่งใช้เทคนิคเลเซอร์คัตหนังเป็นลวดลายแผนที่โลก และประดับด้วยลูกเทนนิสสีต่างๆ ให้เข้ากับพื้นผิวของคอร์ตแต่ละประเภท 

สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเทนนิสกับแฟชั่นมีมานานแล้ว ตั้งแต่กางเกงสแล็คสุดเนี้ยบของ Fred Perry กระโปรงพลีทและผ้าโพกศีรษะของ Suzanne Lenglen ไปจนถึงกางเกงยีนส์ขาสั้นของ Andre Agassi และชุดแคทสูทอันโด่งดังของ Serena Williams

แต่ในปัจจุบัน ทางเดินจากห้องแต่งตัวของนักกีฬามาสู่สนามแข่งได้กลายเป็นรันเวย์ส่วนตัวของพวกเขา จนไม่ต่างจากการเดินแบบประชันในงานแฟชั่นโชว์ของนักเทนนิสแต่ละคนไปแล้ว 

เมื่อรวมกับกระแสจากภาพยนตร์เรื่อง Challengers และนักเทนนิสรุ่นใหม่ที่มีสไตล์การเล่นน่าตื่นเต้นและบุคลิกน่าสนใจ ก็ยิ่งทำให้ความนิยมในกีฬาเทนนิสกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยยอดขายตั๋ว US Open เพิ่มขึ้นถึง 70% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งแบรนด์แฟชั่น แบรนด์กีฬา ต่อเนื่องไปถึงแบรนด์หรูอย่าง Gucci, Louis Vuitton และ Bottega Veneta จึงพร้อมทุ่มเต็มที่ ทั้งด้วยการออกแบบชุดแข่งให้ และจ้างให้เป็น Brand Endorser ตามโปรโมตเพื่อกระตุ้นยอดขาย 

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังเกิดขึ้นท่ามกลางเทรนด์แฟชั่นชุดเทนนิสหรือ tenniscore ที่กำลังขายดี จนเสื้อผ้าแนวนี้ขายดี และยอดค้นหากระโปรงเทนนิสในแอปขายเสื้อผ้ามือสองอย่าง Depop ของอังกฤษ เพิ่มขึ้นถึง 53% เลยทีเดียว 

ความน่าสนใจจากการที่แบรนด์แฟชั่นแข่งขันกันในเทนนิส US Open ช่วงไม่กี่ปีมานี้ ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะนักเทนนิสแต่ละคนก็เลือกแบรนด์ที่จะสวมใส่กันได้กว้างขวางขึ้น และไม่จำกัดเฉพาะแบรนด์หรู-แบรนด์ดังอีกต่อไป 

เนื่องจากรายได้จากสปอนเซอร์และใส่สินค้าของแบรนด์ต่างๆ แต่ละปีนั้นเป็นเงินก้อนใหญ่ และแซงรายได้เงินรางวัลในการแข่งขัน ซึ่งปรากฏให้เห็นจากนักเทนนิสท็อป 9 จาก 10 ในการจัดอันดับนักเทนนิสรายได้สูงสุด 10 อันดับแรกของ Forbes ที่ว่า พวกเขาทำรายได้จากสปอนเซอร์มากกว่าเงินรางวัลไปเรียบร้อยแล้ว 

นอกจากนี้การสร้างภาพลักษณ์ให้สะดุดตา ยังเป็นประโยชน์ต่อทั้งการเพิ่มยอดผู้ติดตามในสื่อโซเชียลกับโลกออนไลน์ และยังเป็นการโปรโมตตัวเองให้ไปสะดุดตาแบรนด์ จนได้เงินจากค่าสปอนเซอร์เพิ่มอีกด้วย 

อย่างไรก็ตาม Stuart Brumfitt บรรณาธิการนิตยสารเทนนิสไลฟ์สไตล์ Bagel ให้ข้อคิดว่า บางครั้งการแต่งตัวที่จัดจ้านเกินไปก็อาจกลายเป็นดาบสองคม โดยนักกีฬากำลังพยายามสร้างไวรัลด้วยเสื้อผ้าหน้าผม เลียนแบบ ‘Tunnel Walk’ ของนักบาสเกตบอล หรือการเปิดตัวด้วยเสื้อคลุมอลังการของนักมวย ซึ่งบางครั้งมันก็ดูเยอะเกินไปจนกลายเป็นการต่อต้านสไตล์ที่ดี 

บางทีคำตอบอาจอยู่ใต้แจ็กเก็ตสุดอลังการของ Novak Djokovic ที่ซ่อนชุดสีดำล้วนเรียบง่ายเอาไว้ ชวนให้นึกถึงลุค “Darth Federer” ในตำนานของ Roger Federer เมื่อปี 2007 ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดที่ได้รับการยอมรับว่าดูดีที่สุดตลอดกาล 

นี่ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าบางครั้งความเรียบง่ายและคลาสสิก ก็ทรงพลังที่สุดในสนามแฟชั่นแห่งนี้ และการไม่ไปหมกมุ่นเรื่องการแต่งตัวมากจนเกินไป แล้วหันมาใส่ใจการซ้อม และการแข่งขัน ต่างหากที่เป็นเรื่องที่นักเทนนิสควรต้องใส่ใจมากสุดเป็นอันดับแรก / theguardain


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer