เถ้าแก่น้อย ตั้งเป้าโต 10% กลับหด 10% หั่นเป้าตลาดต่างประเทศ ตลาดในประเทศฉลุย เปิดแผนงานช่วงที่เหลือของปี 2025 ลุยหนัก Presenter Marketing เดินหน้ารุกตลาดสาหร่ายอบและสาหร่ายโรยหน้า หลังขยายตัวแรงเพราะตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มครอบครัว

| ตั้งเป้าโต 10% กลับหด 10%
เถ้าแก่น้อยหั่นเป้าตลาดตปท. ตลาดในปท.ฉลุย สาหร่ายอบ, โรยหน้าโตแรง |
||
| ปี ค.ศ. | มูลค่าตลาดขนมขบเคี้ยวในไทย | |
| 2023 | 47,207 ล้านบาท | |
| 2024 | 49,550 ล้านบาท | |
| 2025 (คาดการณ์) | 50,400 ล้านบาท | |
| บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN | ||
| ปี ค.ศ. | รายได้ | กำไร |
| 2022 | 4,400 | 435 |
| 2023 | 5,354 | 743 |
| 2024 | 5,737 | 836 |
| ม.ค. – มิ.ย. 2025 | 2,657 | 185 |
| สัดส่วนยอดขาย | ต่างประเทศ 60%
4 ประเทศแรก ที่คิดเป็น 70% ของยอดขาย จีน, อินโดนีเซีย, สหรัฐอเมริกา, มาเลเซีย |
ไทย 40% |
| Marketeer FYI: มูลค่าตลาดขนมขบเคี้ยวกลุ่มสาหร่ายในไทย ปีนี้ อยู่ที่ราว 5,000 ล้านบาท เถ้าแก่น้อยครองสัดส่วนตลาดอยู่ที่ราว 70% | ||
| ที่มา: Marketeer รวบรวม มูลค่าตลาดขนมขบเคี้ยงอ้างอิง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายได้และกำไรของเถ้าแก่น้อย อ้างอิง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย / กันยายน 2025 | ||
คุณอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN กล่าวว่า ตลาดต่างประเทศ เดิมบริษัทตั้งเป้าการเติบโตปีนี้ไว้ที่ 10% แต่ผ่านมาครึ่งปีแรก พบว่าลดลง 10% จึงปรับเป้าการขยายตัวอยู่ในเลขหลักเดียว ซึ่งการดำเนินงานในกลุ่มประเทศสำคัญของบริษัทตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้
จีน ยังเผชิญกับการแข่งขันที่สูง และตอนนี้บริษัทมีกลุ่มสินค้าที่ทำตลาดอยู่แค่ราว 5 รายการ ซึ่งวางแพลนนำสินค้าใหม่ ๆ เข้าไปทำตลาดมากขึ้น และมุ่งในการขายตรงให้กับช่องทาง Modern Trade ข้ามชาติที่เข้ามาทำตลาดในจีน
อินโดนีเซีย บริษัทได้มีการเปิดตัวบริษัทลูกที่ประเทศดังกล่าวแล้ว เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินงาน อาทิ การทำตลาดสินค้าใหม่ ๆ การลดต้นทุนในส่วนซัพพลายเชน และการขายสินค้าให้กับช่องทางค้าปลีกโดยตรงมากขึ้น
สหรัฐอเมริกา ได้รับผลกระทบชัดเจนจากสถานการณ์กำแพงภาษี บริษัทต้องปรับตัวด้วยการปรับไซส์และการทำราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทจะเริ่มขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ มากขึ้น ในช่วงปี 2026
นอกจากนั้น ช่วงปลายปี 2025 บริษัทยังเตรียมเปิดตัว “โกลบอลพรีเซ็นเตอร์” สำหรับสร้างการรับรู้แบรนด์เถ้าแก่น้อยในตลาดต่างประเทศราว 50 ประเทศที่บริษัททำตลาดอยู่ รวมถึงไทย
ด้านตลาดในประเทศ ผ่านมาครึ่งปีแรก เติบโตราว 15% วางเป้าทั้งปีรักษาการเติบโตอยู่ในเลขสองหลัก
กลุ่มสินค้าหลักของบริษัทในไทย ดังนี้ สาหร่ายอบ, สาหร่ายโรยหน้า, สาหร่ายม้วน โดย 2 กลุ่มแรกนับเป็นเซกเมนต์ที่กำลังเติบโตได้ดีในตลาดขนมขบเคี้ยวกลุ่มสาหร่าย ประเมินมูลค่าตลาดใกล้แตะ 1,000 ล้านบาท และจะขยายตัวถึง 2,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า ขณะที่สาหร่ายม้วนยังคงเป็นตลาดหลัก แต่มีการเติบโตทรงตัว
โดยกำลังซื้อสำคัญของตลาดสาหร่ายอบและสาหร่ายโรยหน้า คือกลุ่มลูกค้าครอบครัว เด็ก และคนรักสุขภาพ ซึ่งการเปิดตัว 2 พรีเซนเตอร์ใหม่ล่าสุดของเถ้าแก่น้อยอย่าง “แม่ชมพู่ อารยา – น้องแอบิเกล” จะเข้ามาตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งบริษัทวางแพลนงบการตลาดสำหรับสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านพรีเซนเตอร์ตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้ไว้ที่ราว 40-50 ล้านบาท
อีกทั้งยังมุ่งมั่นพัฒนารูปแบบการบริโภคสาหร่าย พยายามสร้างตลาดใหม่ และ Educate ผู้บริโภค เน้นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เหมาะกับทุกคนในครอบครัว
โดยบริษัทยังได้ขยายธุรกิจไปยังกลุ่มธุรกิจขนมขบเคี้ยวที่แตกต่าง เพื่อขยายขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาด และส่งเสริมพอร์ตธุรกิจหลักของบริษัทอย่างผลิตภัณฑ์กลุ่มขนมสาหร่ายไปพร้อม ๆ กัน
อย่างเช่น การเข้าซื้อหุ้น บริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเจ้าสัวฯ ถือเป็นแบรนด์ขนมขบเคี้ยวที่มีสินค้าหลักคือข้าวตัง ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าคนละประเภทของเถ้าแก่น้อย โดยบริษัทมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ที่พัฒนาร่วมกันในปี 2026
หรือการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR เพื่อดำเนินธุรกิจขนมขบเคี้ยวกลุ่มป๊อปคอร์นสำเร็จรูปพร้อมทาน ภายใต้แบรนด์ Popcorn Major เนื่องจากมองเห็นโอกาสในตลาดป๊อปคอร์นที่กำลังมีศักยภาพจากเทรนด์รับประทานระหว่างการรับชมสตรีมมิ่งของผู้บริโภค
อีกทั้ง ยังมีการขยายการลงทุนไปยังกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร อาทิ การร่วมทุนกับร้านหนึ่ง นม นัว ร้านนมและขนมปังดิบซอสโฮมเมดเจ้าดัง เปิดสาขาที่เมกาบางนา และจะร่วมกันขยายผลิตภัณฑ์ของร้านไปสู่ Customer Product ซึ่งบริษัทก็มีความแข็งแรงในการจัดหาช่องทางจัดจำหน่ายอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทในปีนี้ ประเมินรายได้ยังทรงตัวจากปีที่ผ่านมา แต่กำไรจะลดลงชัดเจน เนื่องจากสัดส่วน 90% ของยอดขายบริษัท เป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มขนมสาหร่าย ซึ่งต้องยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาวัตถุดิบ โดยถ้าไม่มีปัจจัยลบดังกล่าวเข้ามา จริง ๆ ปีนี้บริษัทอาจจะมีกำไรแตะพันล้านบาทไปแล้ว
แต่ก็เชื่อว่าด้วยกลยุทธ์การดำเนินงานต่าง ๆ ที่วางไว้ การบริหารจัดการซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพ จะทำให้รายได้ของบริษัทยังคงเติบโตอย่างแข็งแรง และไม่เข้าสู่ภาวะขาดทุน ตลอดจนเข้าเป้ารายได้แตะหนึ่งหมื่นล้านบาท ภายในปี 2028 เหมือนเดิมที่วางไว้
