จุดที่ทำให้เกิด Sustainable Marketing นั้นเริ่มต้นเมื่อผู้บริโภควิพากษ์วิจารณ์ “การตลาดสมัยใหม่” ในเชิงลบ

1.ราคาสูงเกินจริง (High Prices)
ผู้บริโภคจำนวนมากชี้ว่า ระบบการตลาดสมัยใหม่ทำให้ราคาสินค้าสูงกว่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนด้านการกระจายสินค้า ค่าโฆษณา ค่าบรรจุภัณฑ์ หรือการบวกกำไรเกินจริง ผู้บริโภคจึงต้องจ่ายแพงขึ้นเพื่อสิ่งที่บางครั้งมีมูลค่าแค่ด้านจิตใจ เช่น การซื้อแบรนด์เนมแทนสินค้าแบรนด์ทั่วไป

Sustainable Marketing เข้ามาตั้งคำถามว่า ธุรกิจควรสร้างสมดุลระหว่าง ราคาที่เป็นธรรม กับ คุณค่าที่แท้จริง ของสินค้า ไม่ใช่ผลักภาระให้ผู้บริโภคมากเกินไป

2.การตลาดที่เกินจริง (Deceptive Practices)
การโฆษณาเกินจริง บรรจุภัณฑ์ที่ทำให้เข้าใจผิด หรือการตั้งราคาลวงตา ล้วนเป็นพฤติกรรมที่สร้างความเสียหายทั้งต่อผู้บริโภคและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ

Sustainable Marketing จึงเน้นความ โปร่งใสและซื่อสัตย์ เช่น การบอกข้อมูลส่วนผสมที่ถูกต้อง การตั้งราคาชัดเจน และไม่สร้างภาพลวงว่าลดราคาจาก “ราคาปลอม” สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับแบรนด์ได้

3.การขายแบบกดดัน (High-Pressure Selling)
หลายธุรกิจยังใช้วิธีการขายแบบเร่งเร้า สร้างความรู้สึกกดดัน เช่น การใช้สคริปต์ขายที่บีบให้ลูกค้าซื้อทันที หรือการสร้างความเร่งด่วนเกินจริง (“วันนี้วันเดียวเท่านั้น!”) แม้จะปิดการขายได้ในระยะสั้น แต่ย่อมทำลายความไว้วางใจในระยะยาว

Sustainable Marketing จึงเสนอทางเลือกที่เน้น การให้ข้อมูลและคุณค่า มากกว่าการบังคับขาย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่โปร่งใสและยั่งยืนระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค

4.สินค้าที่ด้อยคุณภาพหรือไม่ปลอดภัย (Shoddy, Harmful, or Unsafe Products)
ผู้บริโภคจำนวนมากต้องเผชิญกับสินค้าที่คุณภาพต่ำหรือไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเกิดจากการออกแบบผิดพลาด วัสดุด้อยคุณภาพ หรือการควบคุมการผลิตที่ไม่เข้มงวด ตัวอย่างเช่น น้ำอัดลมที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและแคลอรีสูง ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ามีส่วนทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วนและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

Sustainable Marketing จึงชี้ว่าธุรกิจต้องรับผิดชอบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกค้า เพราะคุณภาพที่ดีไม่เพียงสร้างความพึงพอใจ แต่ยังสร้างความยั่งยืนของความสัมพันธ์กับผู้บริโภค

5.การทำให้สินค้าล้าสมัยก่อนเวลา (Planned Obsolescence)
อีกหนึ่งข้อวิจารณ์คือ การที่ธุรกิจตั้งใจทำให้สินค้า “หมดอายุ” เร็วกว่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นการใช้วัสดุที่เสื่อมสภาพเร็ว การเปลี่ยนแฟชั่นอย่างต่อเนื่อง หรือการออกสินค้าใหม่ที่ทำให้รุ่นเก่าดูเชย เช่น อุตสาหกรรมแฟชั่นที่สร้างค่านิยม “ใส่แค่ฤดูกาลเดียวแล้วทิ้ง” หรืออุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ออกรุ่นใหม่บ่อย ๆ จนผู้บริโภครู้สึกว่าต้องเปลี่ยนแม้ของเก่ายังใช้ได้

Sustainable Marketing เสนอให้ธุรกิจออกแบบสินค้าที่ทนทานและปรับตัวได้ตามความต้องการของผู้บริโภค แทนที่จะสร้างวัฒนธรรม “ใช้แล้วทิ้ง”

6.การละเลยผู้บริโภคที่เสียเปรียบ (Poor Service to Disadvantaged Consumers)
ระบบการตลาดสมัยใหม่มักถูกวิจารณ์ว่าละเลยผู้บริโภคกลุ่มรายได้น้อย เช่น การที่พวกเขาต้องซื้อของจากร้านเล็ก ๆ ที่ราคาสูงและคุณภาพต่ำ หรืออยู่ใน “food desert” ที่หาซื้ออาหารสดยาก ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต

Sustainable Marketing จึงเน้นการขยายบริการไปสู่กลุ่มเปราะบาง เช่น ร้านค้าปลีกใหญ่ที่เปิดสาขาในพื้นที่รายได้น้อย หรือโครงการอย่าง SNAP Online ของสหรัฐฯ ที่ช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงอาหารสดราคายุติธรรมผ่านช่องทางออนไลน์ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงสร้างโอกาสทางธุรกิจ แต่ยังสร้างคุณค่าทางสังคมไปพร้อมกัน

สรุปได้ว่า การเกิดขึ้นของ Sustainable Marketing มาจากการตอบสนองต่อเสียงวิจารณ์การตลาดสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ไม่เป็นธรรม การโฆษณาเกินจริง ไปจนถึงการผลิตสินค้าล้าสมัยก่อนเวลา แนวคิดนี้จึงเน้นให้ธุรกิจโปร่งใส ใส่ใจคุณภาพ และคำนึงถึงคุณค่าทางสังคม เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวและความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคอย่างยั่งยืน 🟥

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer