ผลสะเทือนจากเรื่องอื้อฉาวของวัดเส้าหลิน ทำให้วัดจีนต้องถึงคราวต้องปรับตัวกันครั้งใหญ่

เมื่อกลางปี 2025 ที่ผ่านมา ซื่อ หย่งซิน เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินวัย 60 ปี ได้ถูกจับกุมตัวไปสอบสวน หลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ เนื่องจากต้องสงสัยว่า ทำผิดคดีทุจริต และยักยอกเงินมูลค่ามหาศาล
อีกเกือบสองสัปดาห์ถัดมา เขาก็ถูกจับสึก และยังไม่มีใครได้ข่าวคราวเลยจนถึงปัจจุบัน เรื่องนี้กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก เพราะคนส่วนใหญ่ต่างทราบว่า วัดเส้าหลินคือต้นกำเนิดศิลปะป้องกันตัวกังฟู
ขณะที่คงมีอีกไม่น้อยที่แปลกใจว่า ทำไมคราวนี้เขาจึงมาถึงจุดจบ เพราะเมื่อ 10 ปีก่อน เขาก็เคยมีข่าวฉาวเรื่องการมีลูก และการทุจริตมาแล้ว

วัดถือเป็นสิ่งที่ผสานอยู่ในวัฒนธรรมจีนแยกแทบไม่ออกมานานแล้ว เพราะเป็นทั้งองค์กรทางศาสนา สถานที่ให้ผ่อนคลายและยึดเหนี่ยวจิตใจยามชีวิตเผชิญความยากลำบาก ต่อเนื่องไปจนถึงเผยแพร่แนวคิดต่างๆ โดยแม้ในบางช่วงเผชิญวิกฤต แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง
อย่างยุค 50 ที่วัดทั่วจีนถูกยึดทรัพย์สินในสมัยปฏิรูปที่ดิน พอยุค 60-70 ซึ่งเป็นช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมก็ถูกทำลายไปจนเกือบหมด แต่ต่อมาในยุค 80 ก็กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งหลังจีนเปิดประเทศ โดยหันมาพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งมักได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเปิดเผย และวัดจีนที่ดังสุดคือ วัดเส้าหลิน
ตีกรอบให้แคบเข้าเฉพาะวัดเส้าหลิน ก็มีการปรับโฉมอยู่หลายครั้ง ซึ่งครั้งที่ชัดเจนที่สุดคือในยุคของ ซื่อ หย่งซิน ซึ่งย้ายมาวัดนี้เมื่อยุค 80 ที่ขณะยังเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
โดยหลังจากไต่เต้าขึ้นมาจนได้เป็นเจ้าอาวาส เขาก็พัฒนาวัดและได้เจรจากับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อเปิดวิหารและขายตั๋วให้นักท่องเที่ยว ไม่นานนัก ผู้คนนับล้านก็หลั่งไหลเข้ามา โดยรัฐบาลท้องถิ่นได้ส่วนแบ่งถึง 70% จากนั้นร้านขายของที่ระลึกแบรนด์เส้าหลินก็เปิดตัว และเส้าหลินบริหารแบบบริษัท หรือ “เส้าหลิน อิงค์” ก็ถือกำเนิดขึ้น
เมื่อมีเงิน อำนาจทางการเมืองก็ตามมา เขาจึงได้พบกับบุคคลสำคัญระดับโลกมากมาย ตั้งแต่เนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีผู้ล่วงลับของแอฟริกาใต้ เฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ผู้ทรงอิทธิพล ไปจนถึงสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ และเคยนำคณะนักบวชกังฟูไปแสดงที่มอสโกตามคำเชิญของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียอีกด้วย
เมื่อชื่อเสียงของ ซื่อ หย่งซิน พุ่งสูงขึ้น ในปี 2006 ฝ่ายปกครองเมืองเติงเฟิงได้มอบรถสปอร์ตหรูมูลค่า 1 ล้านหยวน (ประมาณ 5 ล้านบาท) ให้เขาเพื่อเป็นเกียรติแก่คุณูปการด้านการท่องเที่ยว โดยเมื่อถูกวิจารณ์ เขาก็ตอบโต้ว่า “พระก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน”
จากการทำเงินเข้าประเทศและฝ่ายปกครองท้องถิ่นได้มหาศาลในแต่ละปี ซื่อ หย่งซิน จึงรอดพ้นเหตุอื้อฉาวในปี 2015 มาได้ แต่หลังรัฐบาลจีนหันมาปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง และอยากให้คนดังถ่อมตัว เพื่อเป็นตัวอย่างดีๆ แก่ประชาชน เขาจึงมาถูกจับไปในที่สุด
ทว่าก็มีข่าวว่า เขาอาจถูกจับเพราะขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กับนักการเมืองท้องถิ่น และรัฐบาลก็อยากให้เป็นกรณีตัวอย่างเพื่อให้วัด หันเน้นไปที่เรื่องทางธรรม เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจยามทุกข์ และหารายได้แต่พอดีอยู่ภายใต้กฎหมายและควบคุมได้
เวลาไล่เลี่ยกับที่อดีตเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินถูกจับกุมตัว ก็มีเหตุอื้อฉาวของพระในจีนออกมาอีก โดยช่วงกรกฎาคม พระเต้าหลู ถูกถอดสมณศักดิ์ หลังตำรวจมณฑลเจ้อเจียงสอบสวนในข้อหาฉ้อโกง จากการเรี่ยไรเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีสามีและเด็กยากไร้ แต่กลับนำเงินไปใช้จ่ายส่วนตัวอย่างฟุ่มเฟือย
ต่อมาในสิงหาคม วิดีโอพระวัดหลิงอิ่นในเมืองหางโจวกำลังนั่งนับเงินสดกองโตกลายเป็นไวรัล ทำให้วัดเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 4 แห่งนี้ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโซเชียลมีเดีย ผู้ใช้รายหนึ่งเขียนว่า “คนที่ไปไว้พระจนลง แต่พระกลับรวยขึ้น”
ด้าน คิน เชิง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านศาสนาจากมหาวิทยาลัยโมราเวียน ในสหรัฐฯ วิเคราะห์ว่า โดยเนื้อแท้แล้ว พุทธศาสนานิกายมหายานในจีนไม่ได้ห้ามการสะสมความมั่งคั่ง เพราะในยุคกลาง วัดวาอารามเคยทำหน้าที่ไม่ต่างจากธนาคาร โดยให้พ่อค้ากู้ยืมเงินและคิดดอกเบี้ยสูง
แต่ในขณะที่การหาเงินเพื่อศาสนานั้นเป็นที่ยอมรับ การร่ำรวยเฉพาะบุคคลอาจทำให้กลายเป็นเป้าได้ โดยแรงกดดันนี้มาจากทั้งประชาชนทั่วไปที่มองว่าความร่ำรวยจะกัดกร่อนจิตวิญญาณ และที่สำคัญคือมาจากรัฐบาลจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่กวาดล้างการทุจริตและความมั่งคั่งที่เกินพอดี
จากทั้งหมดที่กล่าวมา จึงมีแนวโน้มว่า วัดในจีนกำลังเข้าสู่ยุคปรับตัว โดยแม้มีการเก็บค่าเข้าเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในวัด และเพื่อกิจการต่างๆ แต่ก็คงไม่ทำให้เอิกเกริก และฟุ่มเฟือย จนตกเป็นเป้าสายตาของสังคมจีนอีก
เพราะยุคนี้ทุกคนล้วนมีกล้องและสื่อโซเชียล ภาพและข้อมูลต่างๆ จึงไปไวและที่สุดคงไปถึงรัฐบาล โดยวัดจีนที่เริ่มปรับตัวให้เห็นแล้ว คือวัดเส้าหลิน
ซื่อ อิ๋นเล่อ ที่มีชื่อเสียงด้านความสมถะถูกเลือกให้ขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินองค์ใหม่ โดยเขาได้สั่งระงับการแสดงเชิงพาณิชย์ ห้ามพิธีกรรมปลุกเสกราคาแพง และประกาศว่าจะรื้อถอนร้านค้าต่างๆ ออกไป เพื่อเป็นการส่งสัญญาณการปฏิรูปครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตามก็คงต้องติดตามดูกันต่อไปว่า จากนี้วัดเส้าหลินจะปรับตัวไปทิศทางไหน โดยแม้ยังมีเก็บค่าเข้าในการไปชมโชว์กังฟูของพระอยู่ แต่ในเมื่อเจ้าอาวาสองค์นี้มีความสมถะกว่าองค์ก่อน แผนปรับตัวก็น่าจะไปได้สวย และช่วยให้วัดอยู่รอดได้อีกครั้ง
ขณะที่วัดอื่นๆ ก็คงปรับตัว โดยเน้นไปที่การเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจและท่องเที่ยวเชิงศาสนาและความเชื่อ หรือที่ชาวไทยเรียกว่า “สายมู” เพราะคงไม่อยากจะถูกจัดระเบียบแบบวัดเส้าหลินนั่นเอง

ส่วนรายได้ที่มาจากทัวร์สายมูในวัดจีนก็ถือว่ามหาศาล เพราะนอกจากวัดจีนเป็นหนึ่งจุดหมายยอดฮิตของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว ชาวจีนก็หันไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันมากขึ้น เพื่อให้มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และขยายไปสู่คนรุ่นใหม่แล้ว จนมีคำเรียกกลุ่มนี้ว่า วัยรุ่นจุดธูป / theguardian
