Asahi แบรนด์เบียร์ยอดขายสูงสุดของญี่ปุ่นกำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ หลังถูกโจมตีทางไซเบอร์จนระบบการผลิตทั่วประเทศเป็นอัมพาตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยแม้สถานการณ์คลี่คลาย แต่ก็ยังไม่ถือว่าเต็มร้อย เพราะเบียร์ยังคงขาดตลาด

เรื่องนี้ยังมีประเด็นน่าสนใจ และมีมากกว่าเรื่องไปจากผลิตภัณฑ์หลักของแบรนด์ เพราะสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของระบบป้องกันภัยทางไซเบอร์ของญี่ปุ่น 

กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ที่กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลกคือ กลุ่มแฮกเกอร์เรียกค่าไถ่ Qilin ที่ได้ขโมยข้อมูลขนาด 27 GB ไป และทำให้ระบบการสั่งซื้อและจัดส่งของ Asahi ต้องหยุดชะงัก จนต้องสั่งปิดสายการผลิตในโรงงานกว่า 30 แห่งทั่วประเทศ ส่งผลให้เบียร์และสินค้าอื่นๆ ของบริษัทขาดตลาดในร้านสะดวกซื้อ 

ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ชี้ว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนและการขาดความพร้อมของบริษัทญี่ปุ่น โดยนี่ถือเป็นเรื่องที่ญี่ปุ่นต้องเร่งแก้ไข 

เพราะแม้เคยเป็นประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยี แต่ปัจจุบันญี่ปุ่นกลับล้าหลัง เริ่มด้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในโซนเอเชียตะวันออก อย่างจีนและเกาหลีใต้แล้ว จนถึงขั้นถูกวิจารณ์ว่าเป็นกบในหม้อต้ม 

ขณะเดียวกันก็กำลังประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรด้านเทคโนโลยีที่มีทักษะ และอัตราการรู้เท่าทันดิจิทัลที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ท่ามกลางสังคมผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยผลสำรวจปี 2023 พบว่าญี่ปุ่นขาดแแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์อย่างหนัก 

ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่นรายงานว่ามีการโจมตีทางไซเบอร์เพื่อเรียกค่าไถ่หรือ Ransomware ถึง 116 ครั้ง แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้ถึง 10 เท่า เพราะหลายองค์กรเลือกที่จะไม่แจ้งความ 

โดยนี่ถือเป็นปัญหาเรื้อรัง เพราะย้อนไปเมื่อปี 2022 บริษัทใหญ่ระดับประเทศอีกแห่งของญี่ปุ่นและคนทั่วโลกรู้จักดีอย่าง Toyota ก็เคยถูกแฮก ถึงขั้นต้องปิดโรงงานทั่วประเทศมาแล้ว 

ในอดีต บริษัทญี่ปุ่นค่อนข้างปลอดภัยจากการโจมตีทางไซเบอร์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกำแพงด้านภาษา ที่ภาษาญี่ปุ่นยังไม่มีคนเข้าใจมากนัก แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะเอไอ ทำให้แฮกเกอร์สามารถทลายกำแพงนี้และทำการโจมตีได้ง่ายขึ้นมาก 

คาร์ตัน แมคลาฟลิน ซีอีโอของ Nihon Cyber Defence บริษัทป้องกันภัยทางไซเบอร์ในญี่ปุ่นกล่าวว่า ญี่ปุ่นตื่นตัวเรื่องภัยไซเบอร์ช้ากว่าประเทศอื่นๆ ซ้ำร้ายยังไม่นำมาปรับใช้และบริหารจัดการอย่างถูกต้อง จึงทำให้แม้ซื้อระบบมาก็ไม่สามารถใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ 

นอกจากนี้ การที่บริษัทญี่ปุ่นมีประสบการณ์ถูกโจมตีน้อยในอดีต ก็กลายเป็นผลเสีย เพราะทำให้ขาดประสบการณ์จริงในการรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินทางไซเบอร์ 

ด้านรัฐบาลญี่ปุ่นได้พยายามยกระดับการป้องกัน โดยมีการออกกฎหมายความปลอดภัยไซเบอร์ฉบับใหม่และจัดตั้งสำนักงานความปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติขึ้นมา แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าในยุคนี้ การถูกโจมตีเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และความเสียหายจะมหาศาลถ้าเกิดกับองค์กรใหญ่ ซึ่งก็สะท้อนออกมาผ่านกรณีของ Asahi นั่นเอง 

มาซากิ ฮิราโอกะ จาก Blackpanda บริษัทผู้ให้บริการรับมือเหตุฉุกเฉินทางไซเบอร์ในญี่ปุ่นอีกแห่งกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่การป้องกัน แต่คือการเตรียมพร้อมที่จะตอบสนองและฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น ดังนั้นบริษัทต่างๆ จำเป็นต้องวางแผนรับมือล่วงหน้า เพื่อลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด 

สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ แม้ Asahi จะเริ่มกลับมาจัดส่งสินค้าได้แล้วตามที่ได้กล่าวไปแล้วด้านบน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด ทำให้ร้านสะดวกซื้อหลายแห่งเริ่มกังวลว่าสินค้า โดยเฉพาะเบียร์ Asahi Super Dry เป็นเบียร์ที่ขายดีที่สุด ขาดตลาด 

ด้านร้านสะดวกซื้อ และห้างสรรพสินค้า ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าขึ้นป้ายเตือนลูกค้าให้ซื้อในปริมาณจำกัด และหากทาง Asahi ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติก่อนถูกโจมตี เบียร์ขายดีสุดของประเทศอาจถึงคราวขาดตลาด และเปิดโอกาสให้บริษัทคู่แข่งก็เป็นได้

ทั้งนี้เหตุการณ์ครั้งนี้ ยังเป็นทำให้ Asahi มีปัญหาให้ต้องแก้เพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบัน ยอดขายเบียร์ ลดลงไปอย่างมาก จากการที่ Gen Z ลดการดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ ทั้งหมด ต่อเนื่องไปถึงแทบไม่ไปสังสรรค์หลังเลิกงาน ทั้งที่เป็นวัฒนธรรมในการสังคมการทำงานของประเทศมานาน / cnn


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer