วอลโว่ ประเทศไทย อัปเดตแผนงานรับมือตลาดรถยนต์พรีเมียมในไทย ติดหล่มรีเจกต์เรต ผ่อนคันเร่งแผนอีวีล้วน ชะลอการตั้งศูนย์แบตเตอรี่ ดึงงบลงทุนมากระตุ้นการขายและการตลาด ลุยเซกเมนต์ใหม่ ซีดานเอสยูวี วางปีนี้ประคองรักษาส่วนแบ่งการตลาด

คุณคริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย และมาเลเชีย กล่าวว่า แม้เป้าหมายระยะยาวของบริษัท คือการจำหน่ายเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) แต่ตอนนี้บริษัทได้ขยับแผนดังกล่าวออกไปจากเดิม และเริ่มกลับมาจำหน่ายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ทั่วโลกรวมถึงไทย

ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายรถ BEV ในไทย อยู่ที่ 80% และรถ PHEV อยู่ที่ 20% บริษัทมองว่าการที่ลูกค้าจะย้ายจากรถยนต์สันดาปไปสู่รถ BEV ยังเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่การย้ายจากรถ PHEV ไปสู่รถ BEV มีความเป็นไปได้สูงกว่า เนื่องจากข้อมูลสถิติของบริษัท แสดงให้เห็นว่าลูกค้ารถ PHEV ส่วนใหญ่มีการชาร์จรถทุกวันอยู่แล้ว ทำให้เกือบจะไม่ต้องปรับตัวเมื่อเปลี่ยนไปใช้รถ BEV

ทั้งล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวรถ BEV ในกลุ่มซีดานอย่าง “Volvo ES90” ซึ่งเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียที่ประเทศไทย โดยบริษัทวางไทยเป็นตลาดสำคัญสำหรับรุ่นนี้ เนื่องจากเซกเมนต์รถซีดานมีขนาดใหญ่ในตลาดรถยนต์พรีเมียม โดยตัวที่วางจำหน่ายในไทย ถูกออกแบบให้มีรูปทรงที่สูงขึ้นเกือบเท่ารถเอสยูวี เพื่อให้ตอบโจทย์สภาพถนนและการใช้งานในไทย โดยคาดว่าจะพร้อมส่งมอบให้แก่ลูกค้าในประเทศภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ หรือ ต้นเดือนมกราคม 2026 

นอกจากนั้น แผนงานการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของบริษัทในปี 2026 คาดว่าจะมีอีก 1-2 รุ่น ส่วนรถตู้อเนกประสงค์ (MPV) ในรุ่น “Volvo EM90” ที่เคยมีแผนจะนำมาจำหน่ายในไทย ตอนนี้ถูกขยับออกไปก่อน 

ด้านตลาดรถยนต์ในไทย ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ยังอยู่ในความท้าทายจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน พบว่าการปฏิเสธสินเชื่อของตลาดรถยนต์พรีเมียมจากเดิมที่มีไม่มาก แต่ช่วงหลังมาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว สะท้อนเศรษฐกิจโดยภาพรวม 

ซึ่งบริษัทจะพยายามรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดให้อยู่ในระดับที่ควรจะเป็น รอความชัดเจนของรัฐบาลใหม่และความเชื่อมั่นของประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่คาดว่ากว่าจะเห็นผลก็คงจะเป็นในช่วงครึ่งหลังของปี 2026

โดยบริษัทยังได้ตัดสินใจเลื่อนแผนการลงทุนจัดตั้ง ศูนย์วิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่ในไทยออกไปก่อน แต่ยืนยันว่าไม่ใช่การยกเลิก บริษัทได้เตรียมสถานที่และเครื่องมือบางส่วนไว้พร้อมแล้ว และจะดำเนินการต่อเมื่อจังหวะของสถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้น โดยเงินลงทุนส่วนนี้ได้ถูกโยกไปใช้ในด้านอื่น ๆ เช่น การตลาดและการขาย

สำหรับอัตราโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2026 ซึ่งคาดว่าจะมีผลกระทบเชิงลบกับพอร์ตรถของบริษัท โดยเฉพาะในกลุ่มรถปลั๊กอินไฮบริด 

บริษัทมีการปรับพอร์ตผลิตภัณฑ์เพื่อเตรียมพร้อมรับมือแล้วในระดับหนึ่ง แต่ในวันนี้อาจจะเร็วไปที่จะระบุว่าจะต้องปรับขึ้นราคาหรือไม่ โดยบริษัทจะมีการพิจารณาอย่างรอบด้านและวางแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับผลกระทบน้อยที่สุด


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer