ในยุคปัจจุบันที่โลกเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จีนกำลังเกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เมื่อ “ฮั่นฝู” หรือหรือชุดโบราณประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 4,000 ปี กลับมาได้รับสนใจ ในหมู่คนรุ่นใหม่ ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ต้องทำจนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อเดินทางมายัง “แดนมังกร” 

ภาพของชายหญิงในชุดคลุมผ้าไหมเดินปะปนกับผู้คนในสถานีรถไฟฟ้าหรือย่านธุรกิจใจกลางเมืองของจีน ไม่ใช่เรื่องแปลกตาอีกต่อไป แต่นี่คือสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูวัฒนธรรมครั้งใหญ่ที่ผสมผสานระหว่างอัตลักษณ์ดั้งเดิมเข้ากับวิถีชีวิตดิจิทัลได้อย่างลงตัว

จุดเริ่มต้นของประสบการณ์ที่น่าประทับใจนี้ มักเกิดขึ้นในเมืองประวัติศาสตร์อย่าง ซีอาน โดย ทิฟฟานี หรง นักท่องเที่ยวสาววัย 34 ปี เป็นหนึ่งในผู้ที่ยอมจองคิวร้านเช่าชุดล่วงหน้านานนับเดือนเพื่อให้ได้สัมผัสประสบการณ์ข้ามเวลา

เธอเล่าว่าการแต่งกายด้วยชุดฮั่นฝูสีแดงสด พร้อมการแต่งหน้าแบบโบราณที่เรียกว่า “เมี่ยนเย่” และการประดับเครื่องทองบนศีรษะนั้น แม้จะมีความยากลำบากในการขยับตัว แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือภาพลักษณ์ที่ดูราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดโบราณภายใต้แสงโคมไฟยามค่ำคืน

เทรนด์นี้ได้กลายเป็นอีกหนึ่งกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีนในช่วงราว 3 ปีที่ผ่านมา โดยสถิติจาก iiMedia Research ระบุว่า มูลค่าการตลาดของชุดฮั่นฝูในจีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปี 2022 มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 12,500 ล้านหยวน (ประมาณ 55,100 ล้านบาท) 

ต่อมาในปี 2023 เมื่อการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอย่างเต็มรูปแบบ มูลค่าตลาดได้พุ่งสูงขึ้นเป็น 14,470 ล้านหยวน (หรือประมาณ 63,800 หมื่นล้านบาท) โตขึ้นกว่า 15.4% และคาดการณ์ว่าเมื่อสิ้นปี 2025 มูลค่าจะขยับขึ้นไปแตะระดับ 15,000 ล้านหยวน (ประมาณ 66,200 ล้านบาท ) ท่ามกลางฐานลูกค้าที่ขยายตัวสู่คนรุ่นใหม่ ทั้ง Gen Y และ Gen Z  กว่า 9 ล้านคน

ความต้องการดังกล่าวส่งผลให้เกิดธุรกิจร้านเช่าชุดฮั่นฝูแบบครบวงจร เพิ่มขึ้นราวกับดอกเห็ด โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ในเขตเมืองเก่าลั่วหยางที่จำนวนร้านค้ากระโดดจาก 18 แห่ง เพิ่มเป็นกว่า 1,300 แห่งภายในเวลาเพียงสองปี

ธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่ให้เช่าชุด แต่ยังรวมถึงบริการแต่งหน้า ทำผม และมีช่างภาพอาชีพ กลายเป็นโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีการแข่งขันสูง ซึ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภคที่ได้รับบริการที่มีมาตรฐานและราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

หากมองลึกลงไปในเชิงสังคม ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า เทรนด์ฮั่นฝูคือภาพสะท้อนของ ความเชื่อมั่นทางวัฒนธรรม หรือที่เรียกกันว่ากระแส “กั๋วเฉา” ซึ่งเป็นการนำเอกลักษณ์ของชาติมาผสมผสานกับความทันสมัย

ศาสตราจารย์ ลิน่า จง จากมหาวิทยาลัยปักกิ่งศึกษาต่างประเทศ (BISU) ชี้ให้เห็นว่า สำหรับคน Gen Yและ Gen Z  ฮั่นฝูไม่ใช่แค่เครื่องแต่งกาย แต่คือ รากเหง้า และ ชุดการแสดงถึงความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของชาติ

นอกจากนี้ กระแสนี้ยังช่วยต่อลมหายใจให้แก่งานฝีมือโบราณที่เคยซบเซา เช่น การทำดอกไม้ประดิษฐ์จากไหม การปักผ้า และเทคนิคการทอผ้า ให้กลับมามีตลาดรองรับและเกิดการสืบทอดต่อไป ผ่านการสนับสนุนของแบรนด์ท้องถิ่นที่เริ่มนำชุดฮั่นฝูมาประยุกต์ให้ใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน

ฮั่นฝูยังกลายเป็นเครื่องมือ “Soft Power” ที่ส่งผลกระทบในระดับนานาชาติอย่างเป็นธรรมชาติ แตกต่างจากการทูตแบบทางการที่รัฐบาลเป็นผู้ขับเคลื่อน โดยเติบโตผ่านสื่อบันเทิงอย่างซีรีส์ย้อนยุค และเกมออนไลน์แนวเทพเซียน 

ร้านเช่าชุดในเมืองใหญ่อย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้รายงานว่ามีนักท่องเที่ยวจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมจีนที่ดูเป็นมิตรและน่าตื่นตาตื่นใจในสายตาชาวโลก ไม่ต่างจากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติฮิตใส่ชุดกิโมโนและฮันบก เมื่อเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ตามลำดับ 

จากทั้งหมดจึงกล่าวได้ว่าการกลับมาของฮั่นฝู คือการแสดงออกของชาวจีนรุ่นใหม่ที่ภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ของตนเอง ท่ามกลางอุตสาหกรรมที่เติบโตแตะระดับหมื่นล้านหยวน

ขณะเดียวกันฮั่นฝูได้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงอดีตเข้ากับปัจจุบัน และกำลังกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่ทำให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า วัฒนธรรมที่เก่าแก่ที่สุดอย่างหนึ่งของโลก สามารถกลับมามีชีวิตชีวาได้ในทุกวันนี้ ถือเป็นตอกย้ำความสำเร็จด้าน Soft power ของจีน ได้อีกทางหนึ่งด้วย / channelnewsasia 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer