JKN 2563 ธุรกิจคอนเทนต์ของ แอน จักรพงษ์ ที่กำลังก้าวสู่ Global Company (วิเคราะห์)

จุดเริ่มต้นของธุรกิจครอบครัวที่ทำอาชีพขายวิดีโอ ลูกชายคนเดียวของครอบจักราจุฑาธิบดิ์ อย่าง “จักรพงษ์”  หรือ แม่แอน ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน เห็นทั้งขาลงและโอกาสในการทำธุรกิจ

ขาลงในธุรกิจวิดีโอ ที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปตามยุคสมัย

เห็นโอกาสในธุรกิจคอนเทนต์ที่มองว่าคืออนาคตที่สร้างรายได้

จากค่อยๆ ลองซื้อลิขสิทธ์มาขายได้กำไรไม่กี่สิบล้าน มาตอนนี้อาณาจักรจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในชื่อ ‘เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย’ ของ แอน จักรพงษ์ มีรายได้ระดับ 1,700 ล้านบาท กำไร 250 ล้านบาท

ปีนี้ที่เจอกับสถานการณ์โควิด-19 ธุรกิจต่างๆ รวมทั้งธุรกิจทีวี ธุรกิจโฆษณาต่างได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลง แต่ธุรกิจขายคอนเทนต์ของJKNกลับได้รับอานิสงส์เพราะผู้คนอยู่บ้านดูทีวี ดูซีรีส์กันมากขึ้น

ครึ่งปีแรกอาณาจักรJKNกำไรสุทธิ 180 ล้านบาท เติบโต 20% รับปัจจัยเชิงบวกหนุนความต้องการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์สำเร็จรูปทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะทีวีดิจิทัลในประเทศ แม้การส่งออกคอนเทนต์ในช่วงครึ่งปีแรกจะลดลงจากการที่ไม่ได้ออกไปโรดโชว์ขายคอนเทนต์เหมือนที่เคยทำมาตลอด

แล้วทิศทางของ JKN จากนี้จะเดินไปทิศทางไหนมาหาคำตอบ

จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือJKN ผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์คอนเทนต์ หลังวิกฤตโควิด-19 มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เนื่องจากผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทั้งในและต่างประเทศ ต่างชะลอการผลิตคอนเทนต์แล้วหันมาซื้อลิขสิทธิ์สำเร็จรูปเพื่อนำไปออกอากาศแทนการผลิตรายการเอง

นี่จึงเป็นโอกาสทองของJKN ในการทำตลาดเพื่อจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้น จากจุดแข็งด้านลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่นำมาจำหน่าย มีความหลากหลายรายการและครอบคลุม

 

รายได้ของ JKN 2563 มาจาก

ขายคอนเทนต์ 90%

โปรดักส์ชั่นและอื่นๆ 10%

 

ธีรภัทร์ เพ็ชรโปรี รองกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี JKN ระบุว่า ปีนี้JKNใช้เม็ดเงินซื้อคอนเทนต์มาค่อนข้างเยอะราว 1,500 ล้านบาท และเราได้สิทธิ์บริหารคอนเทนต์เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 7 ปี ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนของJKNลดลง

รวมทั้งยังบริหารและควบคุมลูกหนี้คงค้างได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของรายได้ โดยมีลูกหนี้การค้าทั้งในและต่างประเทศทยอยชำระคืนหนี้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับคอนเทนต์ที่มีบทบาทและจะเข้ามาเสริมทัพนั้นมีทั้งซีรีส์จีน ฮอลลีวู้ด คอนเทนต์ในทุกรูปแบบ

ขณะเดียวกัน ‘ซีรีส์อินเดีย’ ที่มีกระแสโด่งดังเมื่อหลายปีก่อนที่ทำให้แอน จักรพงษ์ ได้รับฉายาเจ้าแม่ภารตะพันล้านนั้น แม้กระแสในประเทศตอนนี้จะเริ่มซาลง

แต่ธีรภัทร์ระบุว่า JKNไม่ได้โฟกัสแค่ในประเทศอย่างเดียว ซีรีส์อินเดียในต่างประเทศเติบโดได้ดีมาก

ส่วนคอนเทนต์ที่มาแรงคือ แอคชั่น ดราม่าเอเชีย รวมถึง Documentary ด้วย

ทั้งนี้สำหรับทิศทางครึ่งปีหลัง JKNยังเดินหน้ารุกขยายตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง ไตรมาส 3 สามารถจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์อินเดียและฟิลิปปินส์ ให้แก่ มาเลเซียและกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มขึ้น

รวมถึงทยอยส่งมอบคอนเทนต์ซีรีส์ละครไทยจากช่อง 3 ให้แก่ TV5 ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดรายการฟรีทีวีช่องหลักของประเทศฟิลิปปินส์

ไตรมาสสุดท้ายขยายฐานลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มเติมทั้งในกลุ่มประเทศแถบลาตินอเมริกา บรูไน ไต้หวัน ศรีลังกา บังคลาเทศ แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และภูฏาณ

กลยุทธ์เติบโตในช่วงครึ่งปีหลังมาจากการรุกขยายฐานลูกค้ารายใหม่ๆในตลาดต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยผลักดันผลงานของJKNในปีนี้ให้เติบโต 10-15% โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ที่JKNต้องการมีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มเป็น 50% ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า จากตอนนี้อยู่ที่ราว 30% และผลักดันให้JKNก้าวสู่การเป็นบริษัท Global Company

ส่วนจะทำได้หรือไหมคงต้องติดตามและมาดูกันในปีต่อๆ ไป

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer