“มันหนาวเข้ากระดูกและลำบากแทบตายเลย” Taihei Kobayashi พูดถึงชีวิตตัวเองเมื่อครั้งปฏิเสธเส้นทางที่พ่อแม่วางไว้ จนทำให้ต้องไปนอนบนลังกระดาษข้างถนนแบบคนไร้บ้านช่วงวัยรุ่น แต่ที่สุดเขาก็สามารถยืนได้ด้วยตนเอง
วันนี้เขาคือ CEO ของ Sun* บริษัทที่ปรึกษาและทำแอปญี่ปุ่นสุดฮอต มูลค่าบริษัทสูงถึง 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 41,800 ล้านบาท) และยังเป็นผู้บริหารญี่ปุ่นชั้นนำในเวียดนามอีกด้วย
ชีวิตของ Taihei Kobayashi เต็มไปด้วยจุดหักเห การฟันฝ่าอุปสรรคและต้องพิสูจน์ตัวเอง โดยจุดหักเหแรกคือการถูกพ่อแม่ “ตัดขาด” หลังขอเล่นดนตรีและไม่เรียนต่อมัธยมปลาย เขาจึงต้องเลี้ยงดูตัวเอง ด้วยงานเล็กๆ น้อยๆ ช่วงกลางวัน ควบคู่ไปกับการเป็นนักดนตรีช่วงกลางคืน
จากรายได้ที่น้อยไม่พอค่าเช่าห้อง ทำให้เขากลายเป็นคนไร้บ้าน ต้องเร่ร่อนนอนข้างถนนแถวย่านชินจูกุ กรุงโตเกียวอยู่ปีครึ่ง และเกือบนอนหนาวตายอยู่หลายครั้ง
ขณะอายุ 19 ปีสถานการณ์ของ Taihei Kobayashi ดีขึ้น หลังได้ร้านเล่นดนตรีประจำ มีรายได้เสริมจากการขาย CD มือสองผ่านช่องทาง Online ขายผลงานเพลงและเจ้าของร้านใจดีมีที่พักให้
จากนั้นก็ดีขึ้นอีก โดยเขาผ่านการทดสอบยาวนานหลายชั่วโมงได้เข้าไปเป็นพนักงานในบริษัท Software ทั้งที่มีแค่วุฒิมัธยมต้น และบริษัทแห่งนี้เองที่เขาได้พบกับ Makoto Hirai เพื่อนคู่คิดทางธุรกิจคนสำคัญ
Taihei Kobayashi กับ Makoto Hirai เห็นตรงกันว่าบริษัทที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างวงการ Software กับธุรกิจกลุ่ม Solution ที่มุ่งแก้ไขข้อติดขัด (Pain Point) ต่างๆ น่าจะไปได้สวย ทั้งคู่จึงคิดตั้งบริษัทขึ้นมา
แต่ว่าพวกเขากลับเจอ Pain Point เข้าเสียเอง เพราะเงินทุน โดยเฉพาะเรื่องการจ้างวิศวกร Software ที่มีอยู่นั้นไม่มากพอ จนต้องล้มเลิกแผนจ้างวิศวกร Software ชาวญี่ปุ่นไปโดยปริยาย
เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ปี 2012 Taihei Kobayashi และเพื่อนสนิท จึงต้องมองหาประเทศในเอเชียที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังโตและมีวิศวกร Software ที่พร้อมรับค่าจ้างไม่สูงนัก โดย Taihei Kobayashi เล็งเวียดนามเอาไว้ เพราะเคยติดต่อกับ วิศวกร Software มาบ้างระหว่างทำงานในบริษัท Software ญี่ปุ่น
หลังทั้งคู่เล็งเห็นตรงกันว่าคำตอบของโจทย์ดังกล่าวคือ เวียดนาม จึงย้ายไปอยู่เวียดนามและตั้งบริษัทขึ้นในชื่อ Framgia โดย Taihei Kobayashi ย้อนถึงช่วงดังกล่าวว่า ต้องเริ่มต้นอย่างติดๆ ขัดๆ เพราะเป็นการไปต่างประเทศครั้งแรกและไม่รู้จักใครที่นั่นเลย
Framgia ภายใต้การนำของอดีตร็อกเกอร์ข้างถนนและเพื่อน ระดมจ้างวิศวกร Software จบใหม่ชาวเวียดนามที่ค่าจ้างถูกกว่าทั้งในจีน 40% และถูกกว่าญี่ปุ่นถึง 60%
หลังแก้ไขข้อติดขัดเรื่องภาษาและการสื่อสาร ระหว่างผู้บริหารชาวญี่ปุ่นและทีมวิศวกร Software ชาวเวียดนามได้เรียบร้อย ทั้งจากการเปิดคอร์สภาษาญี่ปุ่นเอง และบรรจุภาษาญี่ปุ่นให้เป็นวิชาเรียนในมหาวิทยาลัยเวียดนาม สถานการณ์ของ Framgia ก็ดีขึ้นตามลำดับ
ปี 2019 Framgia เปลี่ยนชื่อเป็น Sun* แต่ Taihei Kobayashi ยังคงนั่งเก้าอี้ CEO ท่ามกลางลูกค้าและความก้าวหน้าทางธุกิจที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยปีนั้น เขาเดินทางกลับมาญี่ปุ่นครั้งแรกในรอบหลายปี เพื่อเปิดสำนักงาน
ท่ามกลางจำนวนลูกค้าที่เพิ่มเป็น 70 บริษัท หนึ่งในนั้นคือ Softbank ค่ายโทรคมนาคมใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นของ Masayoshi Son
กรกฎาคมปี 2020 ชีวิตที่เคยติดลบของ Taihei Kobayashi กลายเป็นอดีต โดยเขาพา Sun* ทำ IPO ในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น และถัดมาช่วงกันยายนมูลค่าบริษัทก็เพิ่มขึ้นเป็น 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 41,800 ล้านบาท)
ความสำเร็จดังกล่าวทำให้ Taihei Kobayashi วัย 37 ปี เป็นขวัญใจชาวญี่ปุ่นรุ่นใหม่ ระดับเดียวกับ Shuntaro Furukawa – CEO คนปัจจุบันของ Nintendo, Maki Akaida CEO หญิงคนแรกของ Uniqlo ญี่ปุ่น,
Yusaku Maezawa มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Zozotown และ Shinjiro Koizumi รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม ทายาททางการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรี Junishiro Koizumi
ขณะเดียวกันยังมีต้นแบบผู้บริหารชาวเอเชียที่เดินหน้าฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิต เช่นเดียวกับ Zhong Shanshan – CEO ของ Nongfu Spring บริษัทน้ำดื่มจีนยักษ์ใหญ่, Masayoshi son ผู้บริหารรุ่นพ่อร่วมชาติ และ Dong Mingzhu – CEO หญิงแกร่งของ Gree บริษัทจีนเบอร์ใหญ่อีกด้วย
เรื่องราวทั้งหมดทำให้แทบลืมไปเลยว่า เมื่อ 20 ปีก่อน Taihei Kobayashi คือวัยรุ่นที่หันหลังให้โรงเรียน จนชีวิตติดลบ และกลายเป็นร็อกเกอร์ไร้บ้านถึงขนาดนอนข้างถนนมาแล้ว / reuters, japantimes, wikipedia, forbes, nikkei, vietnamplus ,pcmag
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline

