ปี 2563 เป็นปีหนึ่งที่หนักของผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม
GDP หมวดที่พักแรมและบริการด้านอาหารมีมูลค่า 6.35 แสนล้านบาท ลดลง 38.3% จากปี 2562
นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยมีถึง 40 ล้านคน ก็เหลือเพียง 6.7 ล้านคน หดตัว 83.2% ในปีที่ผ่านมา
ส่วนนักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศทั้งสิ้น 90.5 ล้านทริป ลดลง 47.6%
ปีที่ผ่านมาเราจึงเห็นเชนโรงแรมยักษ์ใหญ่ปรับตัวกับแบบสุดๆ แต่ก็ยังเจ็บตัวแบบสุดๆ เหมือนกัน
เจ็บที่สุดคือ ไมเนอร์ กรุ๊ป กลุ่มเจ้าของธุรกิจโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย แม้รายได้หลักของไมเนอร์กรุ๊ปจะมีถึง 3 ธุรกิจหลัก คือ โรงแรม อาหาร และสินค้าไลฟ์สไตล์ แต่กว่า 70% จะเป็นรายได้จากโรงแรม
มีรายได้รวม 58,695 ล้านบาท และขาดทุนถึง 21,407 ล้านบาท
CENTEL กลุ่ม โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ของตระกูล “จิราธิวัฒน์” มีโรงแรมภายใต้การบริหารทั้งเป็นเจ้าของเองและรับจ้างบริหาร แต่รายได้หลักของ CENTEL ไม่ได้มาจากธุรกิจโรงแรม แต่คือธุรกิจอาหาร
ปี 2563 รายได้ทั้งหมด 13,249 ล้านบาท ขาดทุน 2,775 บาท
ดุสิตธานี เป็นอีกกลุ่มโรงแรมหนึ่งที่มีการไดเวอร์ซิฟายเพื่อกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจอื่น ๆอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ทัน
วิกฤตโควิดในปี 2563 ทำให้ดุสิตธานีประสบกับตัวเลขขาดทุนเป็นครั้งแรกถึง 1,011 ล้านบาท
ส่วนปี 2564 นี้ก็ยังไม่มีทิศทางที่แน่นอน แต่ที่แน่คือธุรกิจโรงแรม ยังคงปรับตัวจนเหนื่อยต่ออีก

ต้นปีวิจัยกรุงศรีเคยประเมินไว้ว่า ธุรกิจโรงแรมทยอยฟื้นตัวในปี 2565-2566 โดยคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 ปี จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจึงจะฟื้นตัวกลับมาเท่ากับระดับช่วงก่อนโควิด-19
ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวไทยราว 3 ล้านคน แต่จากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ได้ปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางมาไทยในปีนี้เหลือ 3.3 แสนคน
ผลกระทบที่รุนแรงเกินคาดจากการระบาดระลอกที่ 3 อาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
และจากประมาณการจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน กว่าจะเห็นการลดลงเหลือต่ำกว่า 100 ราย อาจอยู่ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงปลายเดือนสิงหาคม
จึงอาจส่งผลต่อแผนการเปิดพื้นที่นำร่อง โดยจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบแล้วไม่ต้องกักตัวเมื่อเดินทางเข้ามา
ยังมีปัจจัยกดดันจากตลาดนักท่องเที่ยวที่สำคัญของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ สะท้อนจาก
-ผลสำรวจของ Thai-Chinese Intelligence Center ชี้ว่านักท่องเที่ยวจีน 1 ใน 3 ระบุว่าจะรอ 6 เดือนหลังจากการระบาดสิ้นสุดลงก่อนที่จะเดินทาง
-จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันในอินเดียและมาเลเซียยังสูงอยู่
-การฉีดวัคซีนที่ยังล่าช้าในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ตลอดจนเงื่อนไขของประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยวที่อาจเป็นข้อจำกัดในการเดินทางข้ามประเทศ
ความหวังแรกของธุรกิจท่องเที่ยวโรงแรมในปีนี้คือ การเปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติของ 10 จังหวัด ที่คิกออฟโครงการนำร่องอย่าง “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เที่ยวไทยแบบไม่ต้องกักตัวที่จะดีเดย์ในวันที่ 1 ก.ค.นี้
ใช้จังหวัดภูเก็ตเป็นพื้นที่นำร่อง สำหรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสแล้ว
และแสดงผลตรวจไม่พบเชื้อโควิด-19 ให้สามารถเข้ามาท่องเที่ยวได้ โดยไม่ต้องกักตัว
แต่ในระยะเวลาที่เหลือนับถอยหลังอีก 14 วัน ก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ถึงข้อบังคับ มาตรการต่างๆ ที่ต้องรอ ศบค. ชุดใหญ่เห็นชอบอีก
ขณะที่ยังมีความกังวลจากศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่มองว่า ไทยยังฉีดวัคซีนน้อยกว่า 10% ของประชากร แต่หากจะทำให้ลดการแพร่ระบาดและลดอัตราการเสียชีวิตได้ ต้องฉีดวัคซีน 50%
และยังมองว่าการเปิดโครงการ ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ยังเร็วเกินไป เพราะหากเกิดการระบาดระลอกใหม่ โดยเฉพาะสายพันธุ์กลายพันธุ์ที่เข้ามากับผู้เดินทาง อาจมีผลต่อวัคซีนที่ไม่ครอบคลุม และซ่ำเติมเศรษฐกิจ
งานนี้คงต้องจับตาดูว่าทิศทางจะไปทางไหน
และต้องเอาใจช่วยธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวอย่างมาก

