พ้นไปจากเรื่องสถานการณ์โควิดและการได้ Joe Biden เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ Bitcoin รวมถึงเงินคริปโตสกุลต่าง ๆ คือข่าวใหญ่ระดับโลกที่ได้รับความสนใจมากในปีนี้ โดยเฉพาะราคาที่เหวี่ยงไปมา เพราะต้นเหตุเกิดจาก ‘เบอร์ใหญ่’ เสมอ เหมือนช่วง 21-22 มิถุนายน ที่ราคา Bitcoin ร่วงลงไปอยู่ที่ 29,700 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 945,000 บาท) ต่ำสุดในรอบ 5 เดือน

‘เบอร์ใหญ่’ ในครั้งนี้ไม่ใช่ ‘จอมปั่น’ อย่าง Elon Musk แต่เป็นรัฐบาลจีนที่ไล่ปิดเหมืองขุด Bitcoin แทบหมดประเทศ แต่เรื่องไม่หยุดแค่นั้น และทวีความน่าสนใจยิ่งขึ้น เพราะเหมืองที่ยังรอดหนีตายย้ายไปเปิดใหม่ในสหรัฐฯ คู่ปรับสำคัญของจีน
หนีตายจาก “แดนมังกร” สู่บ้านใหม่ในเมือง Cow Boy
ราคา Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นทำให้บริบทรอบ ๆ ทั้งหมด ตั้งแต่เงินคริปโตสกุลรอง ๆ ผู้ทรงอิทธิพลที่สามารถ ‘เสก’ ให้ราคาขึ้นลงเพียงโพสต์ข้อความสั้น ๆ บน Social Media และการขยายตัวของตลาด NFT สินทรัพย์ดิจิทัลอีกประเภท ได้รับความสนใจ

ทว่าอีกประเด็นที่แทรกขึ้นมาจนที่สุดขึ้นมาขโมยซีน คือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะการขุดหาเหรียญ Bitcoin ต้องเปิด CPU ให้ทำงานอยู่ตลอดจึงสิ้นเปลืองไฟฟ้ามหาศาล ซึ่ง Elon Musk ก็ใช้ประเด็นนี้เป็นข้ออ้างในการไม่สนับสนุนเงินคริปโตสกุลนี้ จนฉุดให้ราคาลดลงครั้งใหญ่
ล่าสุดคนที่ถือ Bitcoin ต้องใจหายใจคว่ำกันอีก หลัง Bitcoin ร่วงต่ำสุดในรอบ 5 เดือน โดยคราวนี้เกิดจากสถานการณ์ในจีน แหล่งเหมืองขุด Bitcoin ใหญ่สุดในโลก

คิดเป็น 65% จากกำลัง CPU ทั่วโลกในการขุด (Hashrate) ต่อเดือน ทิ้งห่างสหรัฐฯ ที่ตามมาในอันดับสองด้วย Hashrate เพียง 7.24% แบบไม่เห็นฝุ่น
เพราะแค่ต่ออินเทอร์เน็ตได้ มีไฟฟ้าเข้าถึง และ CPU ชุดใหญ่ ก็สามารถขุดและทำเงินจาก Bitcoin ได้แล้ว ทำให้เศรษฐีจีนพากันตั้งเหมืองขุด Bitcoin กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

เสฉวนและยูนนาน ที่มีเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ กับซินเจียงและมองโกเลียใน ที่เป็นแหล่งไฟฟ้าจากเหมืองถ่านหินที่สำคัญ กลายเป็น 4 มณฑลของจีนที่เหมือง Bitcoin เฟื่องฟู
แม้ทำให้เจ้าของเหมืองมั่งคั่งขึ้นมา แต่ก็สิ้นเปลืองพลังงานมหาศาล จนรัฐบาลจีนจับตามอง และทยอยปิดไปพอสมควร ช่วง 3-4 ปีมานี้

ท่ามกลางรายงานจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ว่า ปริมาณไฟฟ้าที่เหมือง Bitcoin ในจีนใช้ จากปัจจุบันที่เท่ากับปริมาณใช้ไฟฟ้าในประเทศเล็กอย่างกาตาร์และชิลีทั้งปี
พอถึงปี 2024 อาจเพิ่มขึ้นเป็น 290 Terawatt ต่อชั่วโมง (TWh) ต่อปี เท่ากับปริมาณไฟฟ้าที่ประเทศขนาดกลางอย่างอิตาลีใช้ในปี 2019 เลยทีเดียว
มาปีนี้รัฐบาลจีนจริงจังกับการปิดเหมือง Bitcoin มากขึ้น โดยสื่อในประเทศระบุว่าสามารถปิดไปได้แล้วถึง 90%

แต่จากการสั่งปิดเหมืองขุดไปพร้อมกับสั่งห้ามไม่ให้สถาบันการเงินทั้งธนาคารและบริษัทกลุ่ม Fintech รับเงิน Bitcoin จึงมีการมองกันว่ารัฐบาลจีนส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่าต้องควบคุมภาคการเงินด้วย
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เจ้าของเหมือง Bitcoin ในจีนที่ไหวตัวทันและเหลือรอดจากการกวาดล้างพากันย้ายไปต่างประเทศ
เจ้าของเหมือง Bitcoin รายหนึ่งถึงขนาดยอมจ่ายค่าขนส่งอุปกรณ์ขุด Bitcoin ทั้งหมดหนักรวม 3 ตัน ด้วยเครื่องบินไปยังรัฐ Maryland ของสหรัฐฯ ส่วนรายอื่น ๆ ก็กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น รัสเซีย อิหร่าน และคาซักสถาน

อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ คือ ‘สถานีต่อไป’ ที่เหมือง Bitcoin จากจีนย้ายไปมากสุด เพราะแม้ค่าไฟแพงกว่ารัสเซีย อิหร่าน และคาซักสถาน แถมเสี่ยงเจอกับกระแสต่อต้านจากนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากกว่าจีน แต่ก็ปลอดภัยกว่า โปร่งใสกว่า สาธารณูปโภคต่าง ๆ ก็พร้อมกว่า
และที่สำคัญ มีถึง 25 รัฐที่ออกกฎหมายเอื้อต่อการทำเหมือง Bitcoin เพื่อนำเงินเข้าคลังจากการเติบโตของ Bitcoin รวมถึงเงินคริปโตสกุลรอง ๆ

ในจำนวน 25 รัฐของสหรัฐฯ ที่หวังทำเงินจาก Bitcoin รัฐเทกซัสโดดเด่นสุด เพราะ Greg Abbott ผู้ว่าการรัฐเป็นผู้ผลักดันกฎหมายดึงดูดการลงทุนของเหมือง Bitcoin ด้วยตัวเอง และประกาศใช้เรียบร้อย
Gregg Abbott
เขาเชื่อว่า ค่าไฟที่ถูกกว่าและสัดส่วนพลังงานสะอาดที่สูงถึง 25% จะทำให้เทกซัส ‘เนื้อหอม’ ในสายตาเจ้าของเหมือง Bitcoin ทั่วโลก
นี่จึงทำให้เหมือง Bitcoin จากจีนจะพากันย้ายมาสหรัฐฯ และอาจมีเทกซัส เป็นบ้านใหม่ที่หลังใหญ่สุด/cnbc, cnn, seattletimes, wikipedia, yahoofinance, coindesk, forbes, theguardian


