ผลกระทบร้ายแรงจากความขาดแคลนบริษัทชิปสหรัฐฯ จึงเดินหน้าลงทุนครั้งใหญ่ โดย Global Foundries ทุ่มเงินลงทุน 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 127,000 ล้านบาท) สร้างโรงงานใหม่ในสิงคโปร์ เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้วิกฤตชิปขาดแคลนเกิดซ้ำอีกในอนาคต
โรงงานแห่งนี้อยู่ที่เขต Woodlands ทางตอนเหนือของสิงคโปร์ ส่วนสำคัญคือโซนอัตโนมัติคุมด้วยหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์เต็มรูปแบบในพื้นที่ 250,000 ตารางฟุต
คาดว่าจะมีจ้างงานที่ใช้ทักษะทางเทคโนโลยีขั้นสูงราว 1,000 ตำแหน่ง เริ่มเดินสายพานการผลิตได้ภายในมกราคมปี 2023 และเต็มรูปแบบในปีถัดไป
ในส่วนของ Global Foundries บริษัทผู้ผลิตชิปใหญ่สุดในสหรัฐฯ และใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจาก TSMC ของไต้หวัน และ Samsung ของเกาหลีใต้ นี่ถือเป็นโครงการสำคัญ
ทั้งเพื่อกันไม่ให้เกิดปัญหาชิปขาดแคลนที่กระทบเป็นระบบต่อภาคการผลิตตั้งแต่ Smartphone ไปถึงรถยนต์
และลดการพึ่งพาบริษัทต่างชาติตามนโยบายของประธานาธิบดี Joe Biden โดยนี่จะเป็นโรงงาน 1 ใน 3 แห่งที่ Global Foundries กำลังเดินหน้าสร้างไปพร้อมกับเยอรมนีและสหรัฐฯ
สำหรับรัฐบาลสิงคโปร์ที่ร่วมลงทุนในโรงงานของ Global Foundries แห่งนี้ด้วยผ่านคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ (EDB) จะครองสัดส่วนรายได้ 1 ใน 3 จากการผลิต และเป็นการย้ำว่าเป็นประเทศเล็กแต่มีศักยภาพในการผลิตที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ต่อเนื่องจากปี 2020 ที่มีบริษัทเทคโนโลยีและเคมีภัณฑ์ต่างชาติมาลงทุนในโครงการต่าง ๆ เป็นเงินรวมถึง 17,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 547,000 ล้านบาท)
ทั้งนี้วิกฤตชิปขาดแคลนเป็นปัญหาใหญ่ต่อเนื่องมาจากช่วงสถานการณ์โควิดที่บริษัทในธุรกิจนี้ทั่วโลกต้องผลิตป้อนให้กับคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊กและสมาร์ทโฟนก่อน ตามความต้องการของผู้บริษัทในช่วงเวลาดังกล่าวที่ถูกตรึงให้ต้องอยู่ติดบ้าน
นี่ทำให้สมดุลและสัดส่วนการผลิตเสียไป จนกระทบเป็นระบบไปถึงสายการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ และแบรนด์รถต่างต้องสั่งชะลอการผลิตจนกว่าสถานการณ์ดีขึ้น
TSMC เบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมผลิตชิปที่ครองสัดส่วนตลาด 54% เพิ่งเผยว่าเรื่องนี้ต้องไม่เป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย โดยประกาศลงทุนเพิ่มถึง 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.1 ล้านบาท) ในอีก 3 ปีจากนี้เพื่อรับประกันว่าวิกฤตลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก/cnbc, wikipedia, straitstimes
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



