หนังและซีรีส์แต่ละประเภทมีเสน่ห์และจุดเด่นต่างกันไป เช่น หนังแอ็กชั่นที่ตรึงให้ผู้ชมให้ลุ้นระทึกไปกับฉากเสี่ยงตายและภารกิจกู้โลกของตัวเอก
ส่วนหนังโรแมนติก แฟนๆ ก็ติดหนึบจากการเอาใจช่วยฝ่าฟันอุปสรรคของพระ-นาง เพื่อให้ได้ครองรักกันเมื่อถึงตอนจบ
ขณะที่หนังและซีรีส์แนวปริศนาฆาตกรรมก็ทำให้ชมสนุกไปกับการแข่งกันสืบกับนักสืบในเรื่องว่า ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังฆาตเกมนี้ หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า ตาม Whodunit

ที่ยังใช้เรียกสื่อบันเทิงในรูปแบบนิยายจากปลายปากกาของ Agatha Christie ที่เป็นนักเขียนแนวนี้เบอร์ใหญ่ระดับโลก หรือ ฮิกาชิโนะ เคโงะ นักเขียนชาวญี่ปุ่นแนวเดียวกันที่ดังมากของฝั่งเอเชีย ณ ปัจจุบัน
ราว 5 ปีที่ผ่านมา หนังและซีรีส์แนวปริศนาฆาตกรรมกลับมาฮิตอีกครั้ง หลัง Murder on the Orient Express หนังปี 2017 ที่นำนิยายเล่มดังของ Agartha Christie มาขึ้นจอ
และต่อด้วย Knives out หนังปี 2019 ซึ่งประสบความสำเร็จด้านรายได้แบบเกินคาด ทำเงินไป 313 ล้านดอลลาร์ (ราว 10,800 ล้านบาท) จากทุนสร้าง 40 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,380 ล้านบาท) แถมยังไปกวาดรางวัลได้อีกหลายเวที
จนทำให้เกิดคอนเทนต์แนวนี้ขึ้นจอเล็กจอใหญ่อย่างซีรีส์ Only Murders in the Building และหนัง See How They Run ตามออกมา
ความสำเร็จของ Knives out ทำให้ผู้กำกับ Rian Johnson อยากสร้างภาคต่อเพื่อสานฝันในฐานะแฟนนิยายปริศนาฆาตกรรม และเรื่องก็รู้ไปถึงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งใหญ่อย่าง Netflix, Amazon Prime Video และ Apple TV+
ต้นปี 2021 เป็น Netflix ที่ทุ่ม 469 ล้านดอลลาร์ (ราว 16,200 ล้านบาท) ซื้อสิทธิ์นำมาลงสตรีม พร้อมเงื่อนไขว่า ต้องสร้างอีก 2 ภาค โดยที่ Rian Johnson ต้องกำกับและ Daniel Craig รับบทนำ
Rian Johnson
Netflix หวังให้ภาคต่อของ Knives out มาช่วยเพิ่มยอดสมาชิกท่ามกลางการแข่งขันในตลาดวิดีโอสตรีมมิ่ง ที่ดุเดือดเรื่องการสร้างคอนเทนต์ และขณะที่ทุ่มเงินซื้อเรื่องนี้มาก็เริ่มมีข่าวออกมาว่า ต่อไปสตรีมมิ่งทุกค่ายอาจต้องขายโฆษณาเพื่อช่วยทำกำไรและชดเชยงบสร้างคอนเทนต์ที่ทุ่มไป

23 ธันวาคมที่ผ่านมา Knives out ภาค 2 ในชื่อ Glass Onion: A Knives Out Mystery ก็ปล่อยสตรีมให้คนทั่วโลกได้ชมกัน และตัวเลขที่ออกมาถือว่าคุ้มค่ากับเงินก้อนใหญ่ที่ Netflix ทุ่มลงไป
Glass Onion: A Knives Out Mystery มียอดชั่วโมงการชม 3 วันแรกทั่วโลกหลังสตรีม 82.1 ล้านชั่วโมง มากเป็นอันดับ 5 ของ Netflix ถัดจากอันดับ 4 อย่าง The Unforgivable หนังปี 2021 ที่มียอดชั่วโมงการชม 3 วันแรกทั่วโลกหลังสตรีม 85.8 ล้านชั่วโมง โดยมี Red Notice, Don’t Look Up และ The Adam Project รั้งอันดับ 1-3
หนังเรื่องนี้ยังมีผู้ชมสูงสุดของ Netflix ไทย ณ วันนี้ (28 ธันวาคม) และ Netflix ยังนำออกฉายตามโรงหนัง 700 แห่งในสหรัฐฯ อีกด้วย โดยทำเงินจากการฉาย 5 วันไป 13 ล้านดอลลาร์ (ราว 541 ล้านบาท) ติดอันดับ 6 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความสำเร็จของ Glass Onion: A Knives Out Mystery เกิดจากการทำตามขนบต่าง ๆ ของหนังแนวปริศนาฆาตกรรม อย่างครบถ้วน
ไล่ตั้งแต่มีนักแสดงกลุ่มใหญ่ที่รับบทเป็นตัวละครที่เกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นโดยไม่คาดคิด นำมาสู่การคลายปมฆาตกรรมโดยนักสืบมือฉมังที่มีบุคลิกน่าสนใจ ซึ่งปรากฏให้เห็นไปแล้ว Knives Out
Daniel Craig สวมบทเป็นนักสืบ Benoit Blanc
นอกจากนี้ ยังเพิ่มความท้าทายในการหาตัวฆาตกรของนักสืบ Benoit Blanc ที่รับบทโดย Daniel Craig ด้วยการที่เรื่องเกิดบนเกาะอันเป็นพื้นที่ปิด
พร้อมจุดขายอีกหลายอย่าง ทั้งนักแสดงกลุ่มใหญ่ ซึ่งในจำนวนนี้ตัวละครมหาเศรษฐีเทคโนโลยีของ Edward Norton ถูกจับตามองมากสุดว่าทีมผู้สร้างอาจได้รับแรงบันดาลใจจาก Elon Musk
Edward Norton และ Elon Musk
จุดขายของ Glass Onion: A Knives Out Mystery ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะบางจุดก็มีการล้อเลียนหนังและนิยายแนวปริศนาฆาตกรรม ขณะที่เสื้อผ้าของตัวละครก็ก็เป็นแฟชั่นฤดูร้อนแบบจัดเต็ม
และยังมีนักแสดงรับเชิญหลายคนทั้งที่เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ นักแสดงคู่บุญของผู้กำกับ รวมไปถึงนักดนตรีและนักกีฬาดัง มาปรากฏตัวสร้างสีสันอีกด้วย
จากนี้คงต้องจับตามองว่า Glass Onion: A Knives Out Mystery จะไปได้ไกลแค่ไหน จะมีภาคต่อออกมาอีกเมื่อไหร่ และจะมีหนังหรือซีรีส์แนวปริศนาฆาตกรรมออกมาตามเทรนด์อีกกี่เรื่อง และจะมีเรื่องไหนดังแซงหน้า Knives Out ได้หรือไม่
หนึ่งในผู้ที่ดูจะสนุกและถูกจับตามองจากการคืนชีพของหนังแนวปริศนาฆาตกรรมมากสุด จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Rian Johnson เอง เพราะเขายังต้องทำหนังชุด Knives Out ต่อตามสัญญาอีกหนึ่งเรื่อง
และ Poker Face ผลงานเรื่องต่อไปของเขาในรูปแบบซีรีส์ที่จะปล่อยสตรีมให้ชมกันทางแพลตฟอร์ม Peacock ต้นปีหน้า ก็เป็นเรื่องแนวปริศนาฆาตกรรมเช่นกัน
ถ้าประสบความสำเร็จอีกและตัว Rian Johnson ไม่เบื่อไปซะก่อน เขาก็จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้กำกับคอนเทนต์แนวไขปริศนาฆาตกรรมมือดี แถมเล่าเรื่องได้สนุก จนเขากล้าทำคอนเทนต์แนวนี้ออกมาอีกหลายเรื่อง
และอาจพักจากการข้ามไปกำกับหนังฟอร์มยักษ์ที่มีแฟน ๆ อยู่ทั่วโลก หลัง Star Wars ภาค The Last Jedi ที่เขากำกับ กลายเป็นภาคที่เสียงแตกมากสุด ทำนองไม่ชอบมาก ๆ ก็เกลียดสุด ๆ ไปเลย
จนเขาเองก็คงยังเข็ดกับหนังฟอร์มใหญ่ แม้กล่าวแบบแบ่งรับแบ่งสู้อยู่เสมอว่าหนัง Star Wars ภาค The Last Jedi เป็นก้าวสำคัญในฐานะผู้กำกับที่ได้จับหนังระดับตำนานก็ตาม/ hollywoodreporter
–
