S&P 50 ปีของแบรนด์ที่มุ่งส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า (ประวัติ)
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2516 พี่น้องตระกูลไรวา นำโดยพี่ใหญ่ ภัทรา (ไรวา) ศิลาอ่อน ร่วมลงขันเปิดร้านขายไอศกรีมในตึกแถวคูหาเดียวเล็ก ๆ ที่หัวมุมซอยประสานมิตร สุขุมวิท 23 ภายใต้ชื่อร้านว่า “S&P Ice-Cream Corner”
ผ่านมา 50 ปี S&P เติบโตจากธุรกิจ Family Restaurant สู่องค์กรมหาชน ภายใต้ชื่อ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดมากกว่า 9,000 ล้านบาท
ด้วยกลยุทธ์การบริหารธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่น ที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้เดินหน้าข้ามผ่านหลากหลายวิกฤตเศรษฐกิจ สู่อาณาจักรอาหารและเบเกอรี่รูปแบบใหม่ ที่มีร้านและแบรนด์ในเครือกว่า 475 สาขาทั่วประเทศ และในต่างประเทศรวม 12 สาขา (ยุโรป 7 สาขา และเอเชีย 5 สาขา) พร้อมก้าวสู่ทศวรรษที่ 5 อย่างแข็งแกร่ง ภายใต้การบริหารของ วิทูร ศิลาอ่อน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หัวเรือใหญ่ในปัจจุบัน ที่ให้เกียรติมาร่วมพูดคุยกับ Marketeer ในวันนี้


ผู้บุกเบิกการผลิตเค้กแต่งหน้าตามสั่ง
และเค้กลายการ์ตูนรายแรกในไทย
ที่มาของชื่อร้าน “S&P” มาจากอักษรนำชื่อผู้ก่อตั้งทั้งหมด 5 ท่าน ประกอบด้วย “S” = คุณสุทธิสุดา, คุณสมศรี และ “P” = คุณภัทรา, คุณพันทิพา, คุณพรพิไล โดยหลังจากร่วมกันดำเนินธุรกิจ “S&P Ice-Cream Corner” ให้บริการอาหารจานเดียวและไอศกรีมมาสักพัก จึงเพิ่มผลิตเบเกอรี่เข้าไป เพื่อบริการลูกค้าให้ครบถ้วนยิ่งขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่ค่อยมีร้านอาหารและเบเกอรี่ที่เป็นห้องแอร์ ส่วนใหญ่จะเป็นร้านตามข้างทางที่ไม่มีแอร์ หรือร้านอาหารในโรงแรมซึ่งมีราคาค่อนข้างสูง และด้วยคุณภาพของอาหาร และการบริการที่ดี รวมถึงความแปลกใหม่ของรูปแบบร้าน ทำให้ร้าน S&P มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างหนาแน่น จนต้องขยายร้านเป็น 2 คูหา และปรับปรุงชั้น 3 เป็นห้องผลิตเบเกอรี่เล็ก ๆ
เมนูขึ้นชื่อได้แก่ “ข้าวไก่อบ” เป็นเมนูประจำบ้านไรวา ที่มาจากไก่อบสูตรคุณยายที่มักทำให้ลูกหลานรับประทานเป็นประจำ ต่อมาคุณยายถ่ายทอดเคล็ดลับให้คุณแม่ภัทรา ศิลาอ่อน และเมื่อลูก ๆ ไปเรียนต่อต่างประเทศ คุณแม่ก็ได้หัดให้ลูก ๆ ทำเมนูนี้รับประทาน จนปัจจุบันเมนูข้าวไก่อบเป็นหนึ่งในเมนูขายดีของ S&P


“คุณแม่ (คุณภัทรา) เป็นคนชอบรับประทานของอร่อย ก็จะไปรับประทานตามที่ต่าง ๆ จานไหนถูกใจก็นำมาประยุกต์ให้เข้ากับร้านเรา แต่เมนู ‘ไก่อบ’ ถือเป็นจาน Original เป็นสูตรมาจากคุณยายที่มีขั้นตอนการทำอย่างพิถีพิถัน เป็นสูตรที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์แตกต่าง เหมือนเป็นเมนูจานเด็ด Signature ประจำตระกูล ที่ลูก ๆ ต้องทำได้ โดยคุณแม่จะสอนให้และตอนที่ไปเรียนต่างประเทศเราก็จะทำให้เพื่อน ๆ ได้ลองรับประทาน แต่อาจจะเป็นเวอร์ชั่นของเรา ไม่ได้เหมือนที่ร้านเท่าไร (หัวเราะ)”
นอกจากจุดแข็งเรื่องอาหารจานเดียวแล้ว S&Pยังประสบความสำเร็จอย่างมากกับเมนูเบเกอรี่ โดยเฉพาะ “เค้กปอนด์” กับการสร้างความแตกต่างด้วยการเป็นผู้นำในการผลิตเค้กแต่งหน้าตามสั่ง และเค้กลายการ์ตูนรายแรกในประเทศไทย


“ยุคนั้นร้านเบเกอรี่นิยมทำเค้กรูปดอกไม้ จึงอยากให้เค้กเรามีความแตกต่างจากตลาด และไปได้แม่พิมพ์เค้กการ์ตูนมาจากเพื่อนคุณแม่ (คุณปราไพ ปราสาททองโอสถ) เราจึงเป็นเจ้าแรกที่ทำเค้กการ์ตูนขึ้นมา ซึ่งโดนใจกลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัวอย่างมาก
รวมไปถึงการตกแต่งเค้กด้วยเทคนิคจิ้มครีมเป็นจุดเล็ก ๆ จนกลายเป็นรูปสามมิติ สามารถสร้างสรรค์ได้ตามสั่ง ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ในสมัยนั้น จึงทำให้เค้กปอนด์ของเราได้รับความนิยมอย่างมากจนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งเค้กปอนด์เป็นสิ่งที่แบรนด์เราโฟกัสเป็นอย่างมาก เป็นสิ่งที่ส่งมอบความสุข ความประทับใจให้กันในวาระสำคัญ วันพิเศษ หรือวันแห่งการสร้างความอบอุ่นในครอบครัว นี่คือสินค้าหลักอันดับหนึ่งของเรา”
S&Pเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2532 ซึ่งเป็นปีที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากนั้นก็ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งไลน์อาหาร ไลน์เบเกอรี่ ที่โดดเด่นทั้งเค้ก คุกกี้ พัฟ พาย และขนมไหว้พระจันทร์S&Pหรือเครื่องดื่มแบรนด์ “Bluecup”
และยังมีสายการผลิตขนมไทย รวมไปถึงมีธุรกิจในเครืออีกมากมาย ทั้งร้านอาหารไทย อาหารญี่ปุ่น ผลิตภัณฑ์อาหารและเบเกอรี่สำเร็จรูปแช่แข็ง บริการจัดเลี้ยงนอกสถานที่ และ Food Service ที่รับทำ OEM ผลิตสินค้าให้หลายแบรนด์ดัง รวมถึงทำโปรดักส์ส่งให้กับกลุ่ม “ไมเนอร์ ฟู้ด” หนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ด้วยกำลังการผลิตที่เรามีอยู่ถึง 4 โรงงาน ได้แก่ โรงงานเบเกอรี่ 3 โรงงาน และโรงงานอาหาร 1 โรงงาน นอกจากนี้ ยังมีให้บริการส่งอาหารถึงบ้าน (1344 Delivery) อีกด้วย


ยึดมั่นใน “คุณภาพผลิตภัณฑ์และการบริการ”
เพื่อมอบสุขภาวะที่ดีให้กับลูกค้า
“S&Pเริ่มต้นจากเป็นร้านโดยครอบครัวเพื่อครอบครัว เราต้องการให้ทุก ๆ ครอบครัวมี ‘สุขภาวะที่ดี’ (Family Well-being) คือมีความสุขกับการได้รับประทาน การมาใช้บริการ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะว่าเราก็เป็นครอบครัวที่ชอบทานอาหารดี ๆ แล้วคิดว่าการที่จะมีอาหารดี ๆ ทานได้เป็นกิจวัตรประจำวันก็ไม่จำเป็นต้องแพงมากมาย ฉะนั้นเราจึงอยากทำของดี ๆ ที่มีคุณภาพให้กับทุกครอบครัว ซึ่งนี่คือสิ่งที่S&Pยึดมั่นมาโดยตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน
และเรายังศึกษาหาข้อมูลจากที่ต่าง ๆ พยายามนำสิ่งที่ดีในแต่ละที่กลับมาประยุกต์พัฒนาสินค้าและบริการของเราตลอดเวลา ภายใต้หลักการทำงาน 4 ข้อที่เป็นเอกลักษณ์ของS&P ได้แก่ บริการเรียบร้อย มีแต่ของอร่อย สถานที่สะอาด และบรรยากาศดี”




คุณวิทูร กล่าวถึงแกนหลักการดำเนินธุรกิจของS&Pที่ยึดมั่นเสมอมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้านจนถึงปัจจุบัน คือการให้ความสำคัญกับ “คุณภาพผลิตภัณฑ์และการบริการ” เพื่อมอบสุขภาวะที่ดีให้กับลูกค้าทุกคนเสมือนหนึ่งคนในครอบครัว
กล่าวได้ว่า S&Pคือผู้นำเทรนด์ Well-being ในธุรกิจอาหารเมืองไทยคงไม่ผิดนัก พร้อมกันนี้ยังให้ความสำคัญกับความ “เข้าใจลูกค้า”เพื่อส่งต่อสิ่งที่โดนใจและตอบโจทย์ความต้องการที่สุด พร้อมนำเสนอ “นวัตกรรม” ใหม่ ๆ ให้ลูกค้าอยู่เสมอ ๆ อีกทั้งยังปรับตัวโดยการนำกลยุทธ์ต่าง ๆ มาใช้ รวมถึงรูปแบบการบริการใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในทุกยุคสมัย
“ผมพูดมาตลอดว่า ‘เราทำสินค้าเพื่อให้ครอบครัวรับประทาน’ ผมกล้าพูดว่าไม่มีใครที่ทานผลิตภัณฑ์ของS&Pมากเท่าครอบครัวผม เพราะทานเกือบทุกวัน และอยู่กับธุรกิจตลอด มีประสบการณ์ร่วมกับร้านตลอดเวลา เราพยายามทุกอย่างที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้าเสมอเมื่อมาใช้บริการS&P”
ปรับตัวตลอดเวลาเพื่อตอบสนองทุกรูปแบบชีวิตที่เปลี่ยนไป
Marketeer ลองถามว่า “หากเปรียบS&Pเป็นมนุษย์คนหนึ่งจะเป็นคนแบบไหน?” ซึ่งคุณวิทูรตอบอย่างชัดเจนและเห็นภาพว่า…
“เมื่อพูดถึง S&P ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคนในองค์กรหรือคนนอกองค์กรก็จะนึกถึงคุณแม่เป็นหลัก เพราะเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและเป็นคนบริหารมาโดยตลอดS&Pคือชีวิตจิตใจของคุณแม่ และปัจจุบันก็ท่านก็ยังมาดูแลร้านอยู่ตลอด
ดังนั้น S&Pก็คงเปรียบเป็นผู้ใหญ่ใจดี มีความรับผิดชอบ มีความปรารถนาดี และต้องการมอบแต่สิ่งดี ๆ ให้กับคนรอบข้าง เราก็อยากให้S&Pเป็นคนอย่างนั้น เพราะตั้งแต่ผมมาร่วมงานกับS&Pเมื่อปี 2543 ก็ได้ออกตรวจสาขากับคุณแม่มาตลอด 22 ปี สิ่งที่คุณแม่ทำมาตลอดคือการเข้าไปจัดร้านและจะพูดเสมอว่า ทำอย่างไรให้พนักงานทำงานสะดวก มีความสุขกับงาน และทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด”
ในมุมมองของผู้ที่อยู่ในธุรกิจร้านอาหาร คุณวิทูรมองว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลาจากอดีตถึงปัจจุบัน ตามรูปแบบการใช้ชีวิตและความต้องการที่เปลี่ยนไปตลอดเวลาของผู้บริโภค สิ่งสำคัญคือต้องปรับตัวและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา และเหนือสิ่งอื่นใดร้านต้องพร้อมมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าเสมอ
“ธุรกิจร้านอาหารมีหลายอย่างที่เปลี่ยนไป ทุกวันนี้คนต้องการประสบการณ์ในการรับประทานมากขึ้น เมื่อก่อนสัก 20-30 ปี คนไทยจะเน้นเรื่องอร่อยลิ้นเป็นหลัก แต่ตอนนี้ไม่ใช่อร่อยลิ้นอย่างเดียวต้องอร่อยรวมด้วย
ถึงแม้การมี Delivery จะทำให้เชื่อมต่อลูกค้ากับของอร่อยได้ง่ายขึ้น แต่การ Eat-in ยังคงเป็นหลักอยู่ ร้านอาหารคนไม่ได้มาทานอาหารเท่านั้น แต่ยังอยากมามีประสบการณ์ ไม่ว่าคุณจะเป็นร้านข้างทางหรือร้านเชนใหญ่ ๆ ก็ยังต้องมีภาพรวมต่าง ๆ ประกอบกัน
ไม่ว่าจะเป็นการมอบประสบการณ์ที่ดี บรรยากาศ สินค้า และบริการ จะบริการด้วยคนหรือเครื่องดิจิทัลหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ปรับเปลี่ยนไปกับกาลเวลา แต่ผู้บริโภคยังคงต้องการประสบการณ์ที่ดี ร้านต้องเข้าใจว่าทำอย่างไรให้อร่อยรวมให้มากขึ้น อาจจะไม่ต้องอร่อยลิ้นที่สุด แต่ว่าถ้าคุณอร่อยรวมได้เก่งกว่าคนอื่น คุณก็จะไปได้ดีกว่า นี่คือสิ่งที่ค่อนข้างจะเปลี่ยนไปอย่างมาก
ซึ่งเรามีหลักการทำงาน 4 ข้อที่เป็นเอกลักษณ์ของS&Pสามารถมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าได้เสมอมา บริการเรียบร้อย-มีแต่ของอร่อย-สถานที่สะอาด-บรรยากาศดี และสิ่งที่ทำให้เราอยู่มาได้นาน เพราะเราไม่หยุดที่จะเปลี่ยน ทั้งภายนอกที่ลูกค้าเห็น และภายในแง่ของระบบการทำงานต่าง ๆ
โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีนี้เราพัฒนาปรับปรุงระบบภายในเยอะมาก เรา Re-purpose, Re-train เพื่อรับมือกับ Digital Disruption เราจัดระบบใหม่ให้มีความกระชับ มีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เช่น หุ่นยนต์ช่วยเสิร์ฟ ระบบ Mobile Take Order ระบบคิดเงินที่โต๊ะ หรือเรื่องของ Digital Payment ที่ครอบคลุมทุกช่องทางเพื่อทำให้พนักงานทำงานได้ราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อมอบความสะดวกสบายและประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้านั่นเอง
หรืออย่างในตอนนี้ เทคโนโลยีดิจิทัลจะทำให้ลูกค้าไม่ต้องมาที่ร้านก็ได้แต่เราก็ยังต้องพัฒนากระบวนการการให้บริการโดยจัดระบบต่าง ๆ เพื่อให้ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงตรงจุดนั้น ภายใต้แนวคิดเดิมคือทำอย่างไรให้ลูกค้าพึงพอใจ ได้รับสินค้าและบริการที่ดีที่สุด รวมถึงพนักงานทำงานได้สะดวกที่สุด”
นอกจากนี้ คุณวิทูร ยังมองว่าเทรนด์หลักของผู้บริโภคคือเรื่อง Mass Customization ที่ธุรกิจร้านอาหารต้องปรับตัวเองให้สามารถทำ Customization ตามใจลูกค้าได้ ซึ่งนี่เป็นเหมือนมาตรฐานใหม่ของทุกร้านในธุรกิจนี้
เข้าสู่ปีที่ 50 เคียงคู่สังคมไทยอย่างยั่งยืนตลอดไป
เมื่อปลายปี 2565 ที่ผ่านมา S&Pได้จัดงาน “ฉลองครบรอบ S&P 49 ปี CAKE & COOKIE WONDERLAND” ดินแดนมหัศจรรย์ของเค้กและคุกกี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบความสุขที่ยิ่งใหญ่ให้กับลูกค้าคนพิเศษตลอดช่วงเทศกาลแห่งความสุข และในการก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 ในปีนี้ ยังได้เตรียมกิจกรรมพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองตลอดทั้งปี รวมไปถึงต่อยอดแนวคิดที่จะเคียงคู่สังคมไทยอย่างยั่งยืนตลอดไป
“ปี 2566 จะมีการ Celebrate ตลอดทั้งปี เพื่อเฉลิมฉลองที่เราสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้ามาตลอดเวลาครึ่งศตวรรษ อย่างไรก็ดี เราจะเน้นการสื่อสารในภาพของอนาคตต่อจากนี้มากกว่าว่า S&Pจะเติบโตเคียงคู่สังคมไทยอย่างยั่งยืนตลอดไป ซึ่งเรามีอะไรที่เป็นที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Category ใหม่ Business Concept ใหม่ Packaging ใหม่ หรืออะไรที่จะสื่อสารไป เพื่อให้ลูกค้าหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้สัมผัสและรับรู้”
ที่ผ่านมา S&Pได้ดำเนินโครงการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมและชุมชนอย่างจริงจังมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น
- แคมเปญ “Wellness Menu” เมนูเพื่อสุขภาพแบบครบวงจร
- การติดตั้ง Solar Roof ณ โรงงานผลิตเบเกอรี่บางพลี กม. 23.5 และโรงงานอาหารลาดกระบัง ลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์ ซึ่งใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตเบเกอรี่ ได้แก่ เค้กกล้วยหอม บัตเตอร์เค้ก มาร์เบิลเค้ก พัฟ พาย คุกกี้ พิซซา ขนมปังเนยสด ขนมปุยฝ้าย และขนมไหว้พระจันทร์
- การคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดีจากเกษตรกร และร่วมกันพัฒนาวัตถุดิบให้ได้คุณภาพตรงตามมาตรฐานของS&Pเพื่อได้วัตถุดิบคุณภาพดี สด สะอาด ปลอดภัยเพื่อผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรด้วย
- ดำเนินการพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าหน้าร้านS&P ซึ่งต้องสามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้
“เราดำเนินการทำหลายอย่างเรื่อง Sustainability ซึ่งไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของเทรนด์ แต่เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเราคิดว่าอยู่มา 50 ปีแล้ว จะอยู่ไปอีก 50 ปีต้องทำอย่างไร ซึ่งสรุปเป็น 3 ปัจจัยหลัก คือ People, Planet, Profit ที่จะช่วยสร้างองค์กรให้มีคุณค่าและสร้างแรงบันดาลใจให้กับทั้ง ลูกค้า คู่ค้า และพนักงาน
‘People’ คือ เรื่องคนจะ Organize อย่างไร จะขยายธุรกิจไปทางไหน และเราจะพัฒนาพนักงานเราอย่างไร ‘Planet’ คือจะทำอะไรให้กับสังคมและโลกของเราได้บ้าง ซึ่งเราเน้นหนักเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องผ่านหลากหลายโครงการซึ่งประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วนเรื่อง ‘Profit’ ในมุมมองของเราคือการทำให้ลูกค้ามีความสุข ให้ลูกค้าถูกใจและไว้ใจเรา ซึ่งจะเป็นผลดีกับธุรกิจของเรานั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงมีการพัฒนาทั้งสินค้า บริการ รูปแบบธุรกิจ และระบบใหม่ ๆ มากมาย”
สุดท้ายนี้ ในนามของ S&P คุณวิทูรฝากคำขอบคุณผ่าน Marketeer ไปยังคู่ค้า ลูกค้า และพนักงาน ทุกท่าน ที่ช่วยสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนธุรกิจของS&Pตลอด 50 ปีที่ผ่านมา
“ในวาระครบรอบ 50 ปีนี้ ไม่ได้อยากจะขอบคุณแค่ลูกค้าอย่างเดียว แต่ขอขอบคุณทั้งลูกค้า ผู้บริหารและพนักงานที่เปรียบเสมือนครอบครัวS&P ตลอดจน Partners Supplier และทุก ๆ คนที่มีโอกาสได้ร่วมทำงาน เพื่อส่งต่อความปรารถนาดีให้กับลูกค้าร่วมกัน ซึ่งถ้าไม่มีทุกคน S&Pคงเดินทางมาไม่ถึงวันนี้
สัญญาว่า เราจะพยายามทำสิ่งดี ๆ จะพัฒนาทั้งบุคลากร องค์กร รวมถึงระบบทุกอย่างที่จะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นไปอีก และเราจะยังคงเป็นกิจการครอบครัวเพื่อครอบครัว ที่จะทำให้ครอบครัวในปัจจุบันและอนาคต มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี โดยจะมุ่งพัฒนาในทุก ๆ ด้าน เพื่อเพิ่มคุณค่าของแบรนด์และส่งมอบประสบการณ์ที่ท่านจะได้รับจาก S&P ให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ และพร้อมที่จะอยู่เคียงคู่สังคมไทยอย่างยั่งยืนตลอดไป”
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



