เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกันต้องมาเผชิญหน้ากับประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสเรื่องเพดานหนี้ พวกเขาถกเถียงกันเรื่องข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจำกัดจำนวนหนี้สาธารณะที่รัฐบาลสามารถก่อได้ โดยมีกระทรวงการคลังที่เป็นผู้ใช้จ่ายเงิน ตลอดปี 2022 ที่พวกเขาค่อย ๆ เพิ่มจำนวนหนี้สาธารณะมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแตะเพดานอีกครั้ง และไม่มีทีท่าว่าจะเพียงพอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เป็นอีกครั้งที่ถ้าหากทั้งสองพรรคไม่สามารถหาทางออกร่วมกันได้ในเรื่องนี้ อเมริกาจะต้องตกอยู่ในอันตรายทันที

19 มกราคม 2023 นาง Janet Yellen รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ประกาศว่าตอนนี้สหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 31.381 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่า GDP ของประเทศเกือบ 130 เท่า และกระทรวงการคลังได้มีการใช้ “มาตรการพิเศษ ทางบัญชี” อย่างการเลื่อนการลงทุนเงินบำนาญเพื่อรักษาเงินสดไว้ใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น

มาตรการเหล่านี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทำอยู่เป็นประจำ และนี่ก็อาจเป็นเพียงการซื้อเวลาก่อนที่หายนะตัวจริงจะมาถึงในไม่ช้า  ย้อนกลับไปในปี 2011 การพูดคุยครั้งสุดท้ายของอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา และโจ ไบเดน ซึ่งเป็นรองประธานาธิบดีในช่วงปี 2011 ลงเอยด้วยการที่เศรษฐกิจได้รับการแก้ไขก่อนเส้นตายจะมาถึง ในตอนนั้นทำเอาตลาดหุ้นอกสั่นขวัญแขวน และทำให้สถาบันจัดอันดับปรับลดเครดิตความน่าเชื่อถือของรัฐบาลลง ซึ่งถ้าดูกันในตอนนี้มหันตภัยร้ายทางเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2023 นี้ ก็อาจเป็นเรื่องที่เลวร้ายไม่แพ้กัน

ข้อมูลระบุว่าในช่วงวันที่ 31 มกราคม 2023 หนี้สาธารณะของอเมริการาว 6.5 ล้านล้านดอลลาร์เป็นการกู้ยืมระหว่างหน่วยงานรัฐด้วยกันเอง ในขณะที่หนี้สาธารณะส่วนใหญ่นั้นเป็นการกู้ยืมผ่านการออกตราสารหนี้ซึ่งถือครองโดยประชาชน Fed กองทุนรวมขนาดใหญ่ และรัฐบาลต่างชาติ

พรรครีพับลิกันซึ่งเพิ่งเข้าครอบครองที่นั่งสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ภายหลังการเลือกตั้งกลางเทอมเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แถลงว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับการใช้จ่ายของรัฐบาลในปัจจุบันและอาจจะต้องควบคุมเรื่องนี้เป็นพิเศษด้วย

ความกังวลนี้คล้ายกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว เมื่อครั้ง Donald Trump ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และเพดานหนี้ถูกทำลายเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ส่งให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 8 ล้านล้านดอลลาร์ตลอดวาระของเขา (3.2 ล้านล้านดอลลาร์เกิดขึ้นก่อนที่การใช้จ่ายที่เกิดจากโควิดจะเริ่มขึ้นในปี 2020) การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะในตอนนั้นไม่ได้เป็นที่ถกเถียงกันมากเท่าในตอนนี้

“การเพิ่มเพดานหนี้ไม่ใช่แค่การเจรจา มันเป็นภาระหน้าที่ของประเทศนี้และเป็นหน้าที่ของผู้นำของประเทศที่จะต้องพาประเทศฝ่าวิกฤตความวุ่นวายทางเศรษฐกิจนี้” เลขาธิการฝ่ายสื่อสารมวลชนของนายไบเดนกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2023

แต่วิกฤตหนี้ในครั้งนี้อาจไม่ง่ายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา พรรครีพับลิกันไม่น่าจะปล่อยให้นายโจ ไบเดน มีอำนาจเบ็ดเสร็จในเรื่องนี้ นายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาคองเกรส ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานสภาด้วยการให้คำมั่นว่าจะยอมผ่อนคลายนโยบายหลายอย่าง รวมถึงให้คำมั่นว่าจะลดเพดานหนี้สาธารณะด้วย

นายแมคคาร์ธีให้คำมั่นว่าจะลดการใช้จ่ายลงเพื่อแลกกับการเพิ่มวงเงินหนี้ และให้คำมั่นว่าจะทำให้ประเทศอยู่บนเส้นทางสู่ความสมดุลของงบประมาณภายในทศวรรษนี้ให้ได้ เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อรองเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ

ถ้าสภามีมติให้ขยายเพดานหนี้ขึ้นมา นายแมคคาร์ธีอาจไม่สามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้ได้ แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นพรรคก็อาจยุติบทบาทหน้าที่ของเขาแค่เพียงปีแรกของการทำงานเท่านั้น

เรื่องนี้บีบให้นักการเงิน ทนายความ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งที่พวกเขาอาจคิดไม่ถึง หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าจุดเริ่มต้นของวิกฤตเศรษฐกิจ คือการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาล ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาจะกลายเป็นหายนะที่รุนแรง หุ้นจะดิ่งชนิดหัวปักลง ต้นทุนการกู้ยืมจะสูงขึ้น การเติบโตของเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบ และสถานะของเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินหลักของโลกจะถูกสั่นคลอน ดังนั้นวิธีใดที่จะหลีกเลี่ยงหายนะครั้งนี้ควรได้การพิจารณาเป็นพิเศษและเร่งด่วน แต่เรื่องที่แย่กว่าก็คือวิธีแก้ปัญหาแต่ละข้อที่เสนอมามีแต่ผลเสียที่รุนแรงซ้ำยังแก้ปัญหาไม่ได้ด้วย

3 ทางออกเรื่องเพดานหนี้

มีข้อเสนอที่ดูจะเป็นไปได้ยากสำหรับการที่จะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถก่อหนี้เพิ่มได้อีกเพื่อทำให้เศรษฐกิจเติบโตและปราบพยศเงินเฟ้อ นั่นก็คือตามกฎหมายแล้ว กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้รับอนุญาตให้สร้างเหรียญแพลทินัมเพื่อเป็นที่ระลึกในสกุลเงินใดก็ได้ คำแนะนำหนึ่งที่อาจเป็นการเหน็บแนมคือให้สร้างเหรียญแพลทินัมมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์แล้วฝากไว้ที่ Fed จากนั้น Fed จะเครดิตเข้าบัญชีของกระทรวงการคลัง ซึ่งจะช่วยให้สามารถรัฐบาลสามารถก่อหนี้ได้โดยไม่มีข้อจำกัดจากเพดานหนี้ และชาวอเมริกันก็จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

แฮชแท็ก #MintTheCoin เป็นที่รู้จักกันในโซเชียลมีเดียอย่างแพร่หลาย ได้รวบรวมการสนับสนุนจากฝ่ายนิติบัญญัติบางคนที่อยู่ฝ่ายซ้ายของพรรคเดโมแครต ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่รวมถึงนาง Yellen ไม่ได้ให้น้ำหนักกับเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะนั่นเท่ากับเป็นการสร้างรายได้จากหนี้ และไม่มีอะไรมาการันตีว่าในอนาคตจะไม่มีพรรคไหนใช้นโยบายประชานิยมโดยการสร้างเหรียญเพิ่มแลกกับการที่ประเทศต้องเป็นหนี้ท่วมหัว ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการแจกเงินสดหรือการลดภาษี แทบจะเป็นสูตรสำเร็จและเป็นจุดเริ่มต้นของความประมาททางการคลังทั้งสิ้นและผลลัพธ์คงไม่ต้องเดา

ข้อเสนอที่ 2 ซึ่งดูเหมือนจะบ้าบอพอ ๆ กัน ก็คือให้กระทรวงการคลังออกพันธบัตรดอกเบี้ยสูงเป็นพิเศษ เนื่องจากโดยปกติแล้วการนับหนี้ของรัฐที่เกิดจากการออกพันธบัตรรัฐบาลจะนับเฉพาะมูลค่าที่ตราไว้ของพันธบัตรเท่านั้น ในทางทฤษฎีกระทรวงการคลังสามารถออกพันธบัตรอายุ 1 ปีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ด้วยอัตราดอกเบี้ย 105% เท่ากับให้ผลตอบแทนคิดเป็น 2 เท่าของมูลค่าที่ตราไว้ (เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยตามราคาตลาดที่ใช้อยู่นั้นใกล้เคียงกับ 5%) นั่นจะทำให้กระทรวงการคลังสามารถระดมทุนได้กว่า 2 พันล้านดอลลาร์ แต่เพิ่มหนี้ของประเทศเพียง 1 พันล้านดอลลาร์ แม้ว่าความฉลาดหลักแหลมดังกล่าวจะบ่งชี้ว่าฐานทางการเมืองของเศรษฐกิจอเมริกันอาจสั่นคลอนได้ในอนาคต และอาจทำให้ตลาดหุ้นพังได้

และวิธีแก้ปัญหาวิธีสุดท้ายที่ถูกหยิบยกขึ้นมานั้นถูกต้องตามกฎหมายและดูเป็นไปได้มากกว่า นั่นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ข้อความส่วนหนึ่งในกฎหมายสูงสุดของประเทศระบุว่า “ความถูกต้องของหนี้สาธารณะอเมริกันจะไม่ถูกตั้งคำถาม” ฟังดูง่ายและไม่ซับซ้อน แล้วถามว่าข้อความนี้แปลว่าอะไร ก็แปลว่ากระทรวงการคลังสหรัฐฯ สามารถออกพันธบัตรโดยขยายเพดานหนี้ออกไปได้เรื่อย ๆ แต่แน่นอนว่าพรรคฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจะท้าทายฝ่ายรัฐบาลโดยการให้ศาลฎีกาเป็นผู้ตีความข้อความดังกล่าว

ถ้าการผลของการพิจารณาคดีออกมาตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลคิด นั่นหมายถึงว่าพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมดที่ออกโดยฝ่าฝืนกฎหมายเพดานหนี้อาจถือว่าผิดกฎหมายทั้งหมด และนั่นจะทำให้กระทรวงการคลังไม่สามารถกู้ยืมเงินได้อีกต่อไป กลับกันถ้าคำตัดสินของศาลออกมาว่ารัฐบาลสามารถก่อหนี้เพิ่มได้อย่างไม่ผิดกฎหมาย ก็แปลว่ารัฐบาลก็สามารถออกพันธบัตรโดยให้อัตราดอกเบี้ยสูง ๆ ได้ และนั่นอาจทำให้นักลงทุนกลัวไม่ต่างจากข้อเสนอที่ให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ สามารถออกเหรียญแพลทินัมและขายพันธบัตรที่ให้ดอกเบี้ยสูงเกินจริง

Maya MacGuineas จากคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องเงินทุนของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Committee for a Responsible Federal Budget) กล่าวว่า “ไม่มีแนวคิดไหนใน 3 แนวคิดนี้ที่ดีพอจะทำให้ตลาดหุ้นสงบได้หรอก”

Rohit Kumar แห่ง PWC ซึ่งเป็นบริษัทบัญชีชั้นนำของโลก และยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยวุฒิสภาของพรรครีพับลิกันในช่วงวิกฤตหนี้ท่วมหัวเมื่อทศวรรษที่แล้วกล่าวเสริมอีกว่า “หากสิ่งเหล่านี้เป็นไปได้จริง (ข้อเสนอทั้ง 3) เราคงเลือกใช้หนึ่งในข้อเสนอเหล่านั้นตั้งแต่ในปี 2011 แล้ว”

มีบางฝ่ายออกมาโต้ว่า ถ้ารัฐบาลสามารถก่อหนี้ทะลุเพดานหนี้ได้แบบเป็นระบบระเบียบ และกระทรวงการคลังสามารถจัดลำดับความสำคัญให้กับเรื่องที่ควรจ่ายได้ อย่างเช่นจ่ายให้กับผู้ถือพันธบัตรและโครงการที่จำเป็น เช่น โครงการที่เกี่ยวกับสุขภาพประชาชน แบบนี้ก็น่าจะป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลได้

 

แต่ต้องไม่ลืมว่านักลงทุนต่างชาติยังคงต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าอเมริกาไม่ปฏิบัติตามข้อผูกมัดต่อประชาชนของตนเอง และประเทศจะต้องเผชิญความเสี่ยงความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อไป เพราะรายได้จากการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลครอบคลุมสัดส่วนเพียง 4 ใน 5 ของการใช้จ่ายภาครัฐเท่านั้น นั่นเท่ากับว่ายังไงเสียรัฐบาลก็มีเงินไม่พอใช้อยู่ดี

 

นั่นแสดงว่าทางรอดทางเดียวของรัฐบาลสหรัฐในครั้งนี้คือการเจรจาทางการเมืองเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่นพวกเขาต้องขอให้อีกฝ่ายยอมให้พวกเขาก่อหนี้สาธารณะเพิ่มต่อไป และทางฝั่งพรรครีพับลิกันคงอยากจะให้ก่อหนี้เพิ่ม แต่ทางฝั่งพรรคเดโมแครตเองคงจะไม่ยอมรับกับท่าทีเช่นนั้นแน่ๆ ผลที่ตามมาอาจเป็นไปได้ว่าความเข้มงวดในการใช้จ่ายในแบบที่ยุคของอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามาเคยเผชิญจะกลับมาอีกครั้ง ในขณะทั้งสองพรรคก็ไม่มีใครถอยในจุดยืนของตนเองแล้ว ความหายนะของเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจมาเร็วกว่าที่เราคิด

 

 

อ้างอิง

https://www.economist.com/united-states/2023/01/23/there-is-no-easy-escape-from-americas-debt-ceiling-mess



อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline

ติดตาม Marketeer Online ทาง LINE Official


เพิ่มเพื่อน