เงินเดือนและค่าจ้างคือปัจจัยลำดับต้น ๆ เสมอมาในการหางานและยังเป็นเกณฑ์สำคัญในการตัดสินใจจะอยู่ต่อกับบริษัทหรือย้ายไปทำกับบริษัทอื่น ๆ โดยมีสมดุลระหว่างงานและได้ใช้ชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาในระดับรอง ๆ ลงมา

Work-Life Balance กินวงกว้างตั้งแต่เวลาทำงานในแต่ละวัน วันหยุดในแต่ละสัปดาห์ รวมไปถึงสภาพแวดล้อมในการทำงานสวัสดิการต่าง ๆ ซึ่งมีผลต่อสมดุลชีวิต โดยนานมาแล้วที่เวลาทำงานต่อวันของคนทั่วโลกเพื่อให้มี Work-Life Balance อยู่ที่ 8 ชั่วโมงต่อวัน

ทว่าหลังเทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาจนทุกคนมีโทรศัพท์มือถือเรื่อยมาจนถึง Smartphone และ Social Media ซึ่งเปิดทางให้สามารถตามตัวมาทำงาน ส่งหรือสอบถามความคืบหน้าของงานได้ งานก็ตามเข้ามาในวันหยุด คุกคามเวลาพักผ่อน หรือแม้กระทั่งรบกวนเวลาของครอบครัว

ในภาวะล็อกดาวน์ช่วงสถานการณ์โควิด Work-Life Balance พังทลายลง เพราะต้องทำงานทั้งที่บ้าน พอสถานการณ์โรคระบาดดังกล่าวผ่านพ้นไป โลกการทำงานก็เปลี่ยนไปอีก โดยหลายบริษัทปรับไปใช้รูปแบบผสมผสาน (Hybrid work space) ให้พนักงานทำงานอยู่บ้านสลับกับเรียกตัวเข้าบริษัท

ในอนาคต Hybrid work space จะเป็นเทรนด์หลักของโลกการทำงาน โดยผลการสำรวจจาก Knight Frank บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์สัญชาติอังกฤษที่มีสาขาทั่วโลก เผยว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า 50% ของกลุ่มตัวอย่างบริษัทใหญ่ทั่วโลก 350 แห่ง จะเปลี่ยนไปใช้ Hybrid work space และจะขายส่วนของอาคารที่ไม่ได้ใช้ทิ้งไป

สถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงต่อ Work-Life Balance ของคนวัยทำงานทั่วโลก เพราะเส้นแบ่งระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวจะบางลงไปเรื่อย ๆ จนแยกไม่ออกอีกต่อไป โดยด้านหนึ่งการตามงานในวันหยุดก็จะเป็นเรื่องปกติ

แต่ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง Work-Life Balance ก็จะยิ่งแซงเงินเดือนขึ้นเป็นเกณฑ์อันดับหนึ่งในการตัดสินใจในการทำงานกับบริษัทไหน

รวมไปถึงจะทำงานต่อหรือลาออก มากกว่าผลสำรวจเมื่อปี 2022 ในสหรัฐฯ และอังกฤษ ที่ระบุว่า Work-Life Balance สำคัญกว่าเงินเดือนในการสมัครงาน

เมื่อเป็นเช่นนี้ Work-Life Balance จึงยกระดับสู่  Work-Life Integration ที่งานและชีวิตส่วนตัวรวมเข้าจนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่คนวัยทำงานเรียกร้องคือความยืดหยุ่นจากบริษัทหรือหัวหน้า ผ่านการเปิดโอกาสให้สามารถเลือกเวลาทำงานได้

โดยแม้ยังมี 8 ชั่วโมงเป็นเกณฑ์ แต่บางครั้งก็สามารถลดหรือเพิ่มได้ ตามที่พนักงานกับบริษัทหรือหัวหน้าของพนักงานคนนั้น ๆ ได้ตกลงกัน โดยที่ผู้เสนอขึ้นมาคือตัวพนักงานเอง

เพราะต้องพิจารณาก่อนว่าตนทำไหวไหม และจะได้บริหารจัดเวลาให้ลงตัวเพื่อชีวิตที่มีความสุข

ความยืดหยุ่นที่มีพื้นฐานมาจากความเข้าอกเข้าใจและการตกลงร่วมกันนี้จะช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างไร้กังวลและประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น

ขณะเดียวกันก็จะทำให้การพากันลาออกของคนวัยทำงานรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Gen Y ที่มีอายุตั้งแต่ 18- เกือบ ๆ 40 ปี เช่น การลาออกครั้งใหญ่ (Great Resignation) ในสหรัฐฯ เมื่อปี 2022 ที่สูงถึง 50 ล้านคน จากความไม่พอใจใน Work-Life Balance ลดลงไป

ความเข้าอกเข้าใจที่บริษัทมีต่อพนักงาน ยังรวมไปถึงชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม ไม่ให้ทำงานควงกะหรือลากยาวโดยมีค่าล่วงเวลามาอ้างจนพนักงานล้า จนที่สุดต้องลาออกก่อนสุขภาพพัง เหมือนที่กำลังเกิดขึ้นกับการแห่ลาออกของแพทย์ในไทยอีกด้วย

ด้านสวัสดิการต่าง ๆ ที่เหมาะสมและทั่วถึงก็เป็นสิ่งที่บริษัทต้องมีให้เช่นกัน หากอยากรั้งตัวให้พนักงานอยู่ต่อไปนาน ๆ ในโลกการทำงานยุคใหม่ที่กำลังเปลี่ยนผ่านจาก Work-Life Balance สู่  Work-Life Integration/ bbc, theguardian


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer