Tops Daily จะเข้ามาท้าทาย 7-Eleven ได้มากแค่ไหน (วิเคราะห์)

เราคงได้เห็นร้านสะดวกซื้อแข่งขันดุเดือดมากขึ้น

เมื่อ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ในเครือ CRC : บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กลับมาสร้างความพร้อมในธุรกิจสะดวกซื้อผ่านแบรนด์ท็อปส์เดลี่อย่างเต็มกำลังในปีนี้

การกลับเข้ามาร่วมรบในธุรกิจร้านสะดวกซื้อของท็อปส์ เดลี่ เป็นการกลับมาหลังจากที่ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ได้เริ่มทยอยปรับเปลี่ยนร้าน แฟมิลี่ มาร์ท ที่มีอยู่ทั้งหมด 415 สาขา ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 เป็นท็อปส์เดลี่ทั้งหมด ไปพร้อมกับขยายสาขาเพิ่ม

จนปัจจุบันท็อปส์เดลี่ มีสาขาทั้งสิ้น 515 สาขา พร้อมสินค้ารวม 6,000 SKU.

และเริ่มสร้างการเติบโตไปข้างหน้าด้วยการปรับเปลี่ยนสัดส่วนธุรกิจรูปแบบสาขาจากปัจจุบัน ที่ท็อปส์เดลี่มีสัดส่วนสาขาที่ลงทุนเอง 70% และสาขาแฟรนไชส์ 30%

เป็นสัดส่วนสาขาที่ลงทุนเอง 55% สาขาแฟรนไชส์ 45% ในอนาคต จากการเปิดรับแฟรนไชส์ 2 รูปแบบทั้งแฟรนไชส์ในรูปแบบ สวมสิทธิ์บริหารร้านเดิม และลงทุนที่ดินเองเพื่อเปิดร้านใหม่

การปรับเปลี่ยนสัดส่วนรูปแบบสาขาสู่แฟรนไชส์มากขึ้น เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะสร้างพลังให้กับท็อปส์เดลี่ ในเรื่องของ

1. การเติบโตของจำนวนสาขา พร้อมขยายฐานลูกค้าอย่างรวดเร็ว จากแฟรนไชส์กลุ่มที่มีที่ดินอยู่และต้องการใช้แบรนด์ท็อปส์เดลี่ทำธุรกิจในรูปแบบเปิดร้านใหม่ โดยท็อปส์เดลี่ไม่ต้องไปหาทำเลด้วยตัวเอง

โดยเฉพาะเรื่องการขยายสาขาให้ครอบคลุมจังหวัดต่าง ๆ เพราะในปัจจุบันท็อปส์เดลี่มีสาขาครอบคลุมเพียง 23 จังหวัดเท่านั้น แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 57% สาขาต่างจังหวัด 43%

ซึ่งสาขาในต่างจังหวัดมีสัดส่วนจาก

จังหวัดทางภาคใต้ 17%

ภาคตะวันออก 12%

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6%

ภาคกลาง 5%

ภาคตะวันตกและภาคเหนือ 3%

รูปแบบธุรกิจที่ผู้สนใจมีที่ดินและซื้อแฟรนไชส์ท็อปส์เดลี่เพื่อทำธุรกิจ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล แบ่งรายได้ให้กับแฟรนไชส์รูปแบบนี้สัดส่วน 70% จากกำไรขั้นต้น และการันตีรายได้ 150,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 24 เดือนแรกของสัญญา

โดยผู้สนใจแฟรนไชส์รูปแบบนี้จะต้องจ่ายเงินให้กับ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1.07 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน 370,000 บาท และเงินค้ำประกัน 700,000 บาท ไม่รวมค่าก่อสร้างและอุปกรณ์เฉลี่ย 3-5 ล้านบาทต่อสาขาตามขนาดของพื้นที่

และการตั้งราคาเปิดแฟรนไชส์ท็อปส์เดลี่ใหม่ และเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ดึงดูดให้ผู้สนใจจะเป็นพาร์ตเนอร์ของเซเว่นอีเลฟเว่นเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์กับท็อปส์เดลี่แทน

จากค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าเซเว่นอีเลฟเว่น และส่วนแบ่งรายได้ที่มากกว่า

เนื่องจากเซเว่นอีเลฟเว่นมีโมเดลธุรกิจในรูปแบบพาร์ตเนอร์และแฟรนไชส์สองโมเดล

โมเดลแรกอยู่ในรูปแบบผู้มีที่ดินและสนใจเข้ามาซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์เซเว่นอีเลฟเว่นเพื่อทำธุรกิจ

โดยเซเว่นอีเลฟเว่นคิดค่าแฟรนไชส์ในรูปแบบนี้ รวมทั้งสิ้น 2.63 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน 1,730,000 บาท และเงินค้ำประกันความเสียหาย 900,000 บาท มีระยะสัญญา 10 ปี

และได้ผลตอบแทน 54% จากกำไรที่ขายได้

ส่วนโมเดลที่สองเป็นโมเดลที่เปิดให้ผู้สนใจเข้ามาบริหารร้าน โดยสิทธิ์ร้านทั้งหมดยังเป็นของเซเว่นอีเลฟเว่น โดยคิดค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน 480,000 บาท และเงินค้ำประกันความเสียหาย 1,000,000 บาท รวม 1,480,000 บาท มีระยะเวลาสัญญา 6 ปี

และผู้สนใจร่วมโมเดลนี้ของเซเว่นจะได้รับเป็นเงินเดือนค่าบริหารร้าน และส่วนแบ่งรายได้เป็นเปอร์เซ็นต์เมื่อสาขามีรายได้เกินเป้าที่วางไว้ในแต่ละเดือน

 

2. สร้างรายได้ โดยไม่ต้องบริหารเอง ด้วยการเปิดให้คนผู้ที่สนใจเข้ามาสวมสิทธิ์ร้านเดิมที่มีอยู่แล้วบริหารต่อ ซึ่งโมเดลนี้ Marketeer มองว่าช่วยให้ท็อปส์เดลี่มีรายได้จากค่าแฟรนไชส์ 1.07 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน 370,000 บาท และเงินค้ำประกัน 700,000 บาท และได้ค่าส่วนแบ่งจากกำไร 60% (แฟรนไชส์ได้ส่วนแบ่ง 40%) ในทุก ๆ เดือน โดยไม่ต้องลงมาบริหารเองที่จะต้องมีต้นทุนในเรื่องค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่น ๆ

ซึ่งโมเดลในรูปแบบนี้ท็อปส์เดลี่ดึงดูดด้วยการันตีรายได้ 60,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 24 เดือนแรกของสัญญา

 

การเข้าร่วมแข่งขันในธุรกิจร้านสะดวกซื้อของท็อปส์เดลี่ Marketeer มองว่ามีทั้งโอกาสและความท้าทายที่น่าสนใจ

ในด้านของโอกาส มาจากในวันนี้ร้านสะดวกซื้อในประเทศไทย เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศยังมีสัดส่วน 1 ร้าน ต่อประชากร 4,428 คน

เป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าเกาหลี และญี่ปุ่น โดยเกาหลีมีสัดส่วน 1 ร้าน ต่อประชากร 953 คน และญี่ปุ่น 1 ร้านต่อประชากร 2,220 คน

ทำให้โอกาสในการขยายสาขาเพื่อเข้าถึงลูกค้ายังมีช่องว่างอยู่มาก ประกอบกับในวันนี้พฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนจากการเดินทางเพื่อไปซื้อสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตทีละมากๆ เป็นการซื้อตามการใช้งานในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้บ้านมากขึ้นเพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง

แต่ความท้าทายที่สำคัญ คือ ในตลาดนี้มีผู้เล่นรายใหญ่อย่างเซเว่นอีเลฟเว่นที่มีสาขาจำนวนมาก และพัฒนาบริการต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามาเป็นลูกค้าในความถี่และยอดซื้อต่อบิลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น บริการเซเว่นเดลิเวอรี่ส่งสินค้าถึงบ้าน เป็นต้น

นอกจากนี้ ในตลาดร้านสะดวกซื้อยังมีแบรนด์อื่น ๆ ที่เข้าถึงลูกค้าผ่านกลยุทธ์และจุดเด่นที่แตกต่างกันไป เช่น 108Lowson ที่เน้นสาขาขนาดเล็กบนรถไฟฟ้า, เทอร์เทิล เปิดสาขาในบีทีเอส เป็นต้น

อย่างไรก็ดี สำหรับความเป็นมาของการลงเล่นตลาดร้านสะดวกซื้อของ Tops Daily ในครั้งนี้ เกิดจากการปรับเปลี่ยนธุรกิจของ แฟมิลี่มาร์ท ซึ่งเป็นร้านที่เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล เคยขอร่วมทุนกับแฟมิลี่มาร์ท กรุ๊ป ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2555 หลังจากที่แฟมิลี่มาร์ทเข้ามาลงทุนด้วยตัวเองตั้งแต่ปี 2535 ในชื่อ บริษัท สยามแฟมิลี่มาร์ท จำกัด และเปลี่ยนชื่อบริษัท สยามแฟมิลี่มาร์ท จำกัด เป็น บริษัทเซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด ในปี 2556

จนในปี 2563 เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ขอซื้อหุ้นทั้งหมดที่แฟมิลี่มาร์ทประเทศญี่ปุ่นถือในบริษัทเซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด และคงสถานะแฟรนไชส์ของแฟมิลี่มาร์ทญี่ปุ่นไว้เพื่อทำตลาดภายใต้ชื่อแฟมิลี่มาร์ทต่อจนแฟรนไชส์หมดสัญญา

ส่วนในปัจจุบันบริษัทเซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งในปี 2566 เป็นชื่อบริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด มินิมาร์เก็ต จำกัด

นับตั้งแต่ปี 2563 หลังจากที่เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทลเป็นเจ้าของใน บริษัท เซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด 100% จากการซื้อหุ้นคืน

ร้านสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ทมีผลประกอบการแจ้งกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในชื่อบริษัท เซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด  ดังนี้

         

2563    รายได้รวม 11,877.70 ล้านบาท ขาดทุน 281.48 ล้านบาท

2564    รายได้รวม 7,481.88 ล้านบาท ขาดทุน 1,049.01 ล้านบาท

2565    รายได้รวม 7,849.11 ล้านบาท กำไร 29.88 ล้านบาท

 

ส่วนอนาคตท็อปส์เดลี่จะสร้างผลประกอบการได้แค่ไหน ดูกันต่อไป

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer