Work: ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคนี้เกาหลีใต้คือขั้วอำนาจใหม่ของอุตสาหกรรมบันเทิงทั่วโลก ซึ่งหนึ่งในหัวหอกหลักของความสำเร็จดังกล่าวตามแผน Soft power คือซีรีส์ที่เริ่มจากโทรทัศน์และต่อเนื่องสู่ซีรีส์
หลักฐานยืนยันคือความฮิตระดับปรากฏการณ์เมื่อราว 20 ปีก่อน ของ Jewel in The Palace หรือที่ชาวไทยรู้จักกันในชื่อ แด จังกึม ตามตัวละครเอกในเรื่อง และ Squid Game ทั้งที่ทั่วโลกติดล็อกดาวน์
แต่ความสำเร็จลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยประเทศเอเชียที่ทำได้มาก่อน คือ ญี่ปุ่น หลักฐานคือ ความสำเร็จมหาศาลของ โอชิน ในยุค 80

แม้ปัจจุบันญี่ปุ่นตามหลังเกาหลีใต้ในเรื่องอุตสาหกรรมบันเทิง โดยในส่วนของซีรีส์ก็ถูกมองว่าเชย ไม่เข้มข้นแบบของเพื่อนบ้านร่วมโซนเอเชียตะวันออก แต่วงการซีรีส์ญี่ปุ่นก็รู้ตัวแล้ว นำมาสู่การปรับเนื้อหาให้ร่วมสมัย

ไปพร้อมกับนำมังงะหรืออนิเมะ รวมไปถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ มาทำซีรีส์ลงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งกันอย่างคึกคัก ซึ่งเมื่อรวมกับการที่บริษัทชาติตะวันตกนำนิยายคลาสสิก และ “ความญี่ปุ่น” ต่าง ๆ เช่น นินจา ยากูซ่า ซามูไร และโชกุน
ก็ยิ่งช่วยให้อุตสาหกรรมคอนเทนต์ญี่ปุ่นฟื้นตัว และลดระยะห่างจากเกาหลีใต้ลงไปได้บ้าง
หนึ่งในซีรีส์ญี่ปุ่นที่ปรากฏสู่สายตาชาวโลกผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งช่วงนี้คือ Riding a Unicorn ซึ่งนำแสดงโดย เมย์ นากาโนะ, ฮิเดโตชิ นิชิจิมะ และ โยซุเกะ ซูกิโนะ
ความน่าสนใจของเรื่องนี้อยู่ที่การสะท้อนสังคม รูปแบบการทำธุรกิจ สถานการณ์ในโลกการทำงานของญี่ปุ่นยุคใหม่ และปัญหาแบบที่กล้าพูดตรง ๆ เช่น การยึดติดขั้นตอน ความล้าหลังทางดิจิทัลและตามหลังเกาหลีใต้
ท่ามกลางการลุ้นว่ารักสามเส้าของตัวละครหลักทั้ง 3 จะลงเอยอย่างไร
และเมื่อดูจบคนดูก็จะได้บทเรียนและ How to ไปหลายข้อที่ทีมผู้สร้างแทรกเอาไว้
อย่าโลกสวย: เส้นเรื่องหลักของ Riding a Unicorn เล่าถึงเส้นทางของ Dream Pony บริษัทแบบสตาร์ตอัปทางการศึกษา ซึ่งต้องเผชิญทั้งขาขึ้น-ขาลงกว่าจะได้เป็นบริษัทเกิดใหม่มูลค่าพันล้านดอลลาร์ หรือ Unicorn ตามชื่อเรื่อง
ทำให้ตลอด 10 ตอนจึงมีการสอนบทเรียนทางธุรกิจอยู่พอสมควร ซึ่งที่เห็นชัด ๆ เลยคือ อย่ามองโลกในแง่ดีหรือไว้ใจใครมากเกินไป เช่น ความลับสำคัญของบริษัทที่รั่วออกไปจากคนที่คาดไม่ถึง

และการที่ซีอีโอหญิงของ Dream Pony ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญอันส่งผลต่อทิศทางและสถานะของบริษัท โดยที่ขัดต่ออุดมการณ์การดั้งเดิม
ไม่มีใครแก่เกินเรียน: บทเรียนข้อต่อมาจาก Riding a Unicorn คือ ไม่มีใครแก่เกินเรียน เพราะหนึ่งในสามตัวละครหลักกล้าลดทิฐิและสลัดข้อจำกัดเรื่องวัยวุฒิ รวมไปถึงประสบการณ์ในการทำงานก่อนหน้านี้ทิ้งไป

เพื่อให้ได้เรียนรู้งานใหม่พร้อมสังคมการทำงานยุคใหม่ใต้ชายคา Dream Pony บริหารโดยคน Gen Y ที่อายุไม่ถึง 30 ปี แม้ตัวเองเป็น Gen X รุ่นกลางที่อายุ 50 ปีและเคยเป็นหัวเรือใหญ่ประจำสาขาของบริษัทใหญ่มาแล้ว

บทเรียนเรื่องไม่มีใครแก่เกินเรียนยังปรากฏชัดอยู่ในแนวคิดการทำธุรกิจของ Dream Pony ที่สร้างแพลตฟอร์มการศึกษาให้คนญี่ปุ่น ไม่ว่าอายุมากแค่ไหนก็มาเรียนได้
สอดคล้องกับสถานการณ์จริงซึ่งญี่ปุ่นมีประชากรวัยชราอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย
ให้โอกาส: ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่า Riding a Unicorn เป็นซีรีส์เล่าเรื่องบริษัทแบบสตาร์ตอัปที่มีคนหลายรุ่นอยู่ด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในสามตัวละครหลักเป็นคน Gen X ที่ต้องไปเป็นลูกน้องของ Gen Y

ดังนั้น จึงนำมาสู่บทเรียนข้อที่สาม เรื่องการให้โอกาส ทั้งจากคนรุ่นน้องหรือรุ่นลูก ให้โอกาสกับคนรุ่นก่อน และการที่รุ่นพี่ ๆ ให้โอกาสตัวเองในการเรียนรู้สิ่งใหม่ให้ทันยุคสมัย รวมไปถึง Gen Y ให้โอกาส Gen Z ซึ่งเด็กลงไปอีก เพราะมั่นใจในฝีมือ
ใช้คนให้ถูกกับงาน: เคล็ดลับความสำเร็จในการบริหารข้อหนึ่งที่ใช้ได้ตลอด ไม่ว่าเทรนด์การทำงานจะเปลี่ยนไปอย่างไรและแค่ไหน คือ ใช้คนให้ถูกกับงานหรือตามสำนวนภาษาอังกฤษที่ว่า Put the right man on the right job
ใน Riding a Unicorn ซีอีโอ Gen Y ได้ลองให้พนักงาน Gen X ไปโปรโมตแอปของบริษัทแบบ On ground ที่ร้านกาแฟตามถนัด แม้เพื่อนร่วมรุ่นจะทักว่าเชยไปแล้ว และโปรโมตแบบ Online ที่คนรุ่นตนใช้กันน่าจะได้ผลกว่า
นอกจากนี้ ทีมผู้บริหาร Gen Y ได้มอบหมายให้พนักงาน Gen Z ทำเรื่องกราฟิกต่าง ๆ เพราะทำได้ดีกว่าและเร็วกว่าคนรุ่นตน
“กัมบัตเตะ”: บทเรียนข้อสุดท้ายจาก Riding a Unicorn เป็นแนวคิดที่ปรากฏอยู่ในคอนเทนต์ทั้งซีรีส์และหนังญี่ปุ่นมาแทบทุกเรื่อง นั่นคือ “กัมบัตเตะ” หรือพยายามเข้านะ

กัมบัตเตะที่เห็นชัดสุดในซีรีส์เรื่องนี้ คือ การไม่ละความพยายามในการเรียนรู้เทคโนโลยีของพนักงาน Gen X แม้ช่วงแรกจะตะกุกตะกักและงุ่มง่ามมาก
แต่พอเรื่องไปได้ราวครึ่งทางนอกจากเขาเริ่มคล่องแล้วยังสามารถนำทักษะเดิมมาผสมผสานเข้าไป จนช่วยงานของบริษัทได้อย่างมากอีกด้วย
–
