สุกี้ตี๋น้อย ไปต่อไม่รอแล้วนะ บุกจังหวัดเชียงใหม่เปิดสาขาที่ 61

หลังจาก “สุกี้ตี๋น้อย” บุกจังหวัดเชียงใหม่เปิดสาขาที่ 61 ซึ่งเป็นสาขาแรกของภาคเหนือเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา

เมื่อวานนี้ (3 เม.ย.) ก็เปิดสาขาที่ 62 ต่อทันทีในจังหวัดอุดรธานี

ปีนี้ผ่านไปแค่ 3 เดือน สุกี้ตี๋น้อยเปิดสาขาใหม่ไปแล้ว 7 สาขา

เพียงแค่ 6 ปี  “นัทธมน พิศาลกิจวนิช” เจ้าของสุกี้ตี๋น้อย สามารถสร้างรายได้ทะลุ 5,244 ล้านบาท กำไร 913 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา

เป็นรายได้ที่เติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอดแม้แต่ช่วงวิกฤตโควิด-19

ฟังดูเหมือนง่าย ๆ

เหมือนกับที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่าเลือกขายสุกี้เพราะไม่น่ายาก ส่วนประกอบหลัก ๆ ที่ทำให้ลูกค้าติดมี 2 อย่าง คือ “น้ำจิ้ม” กับ “น้ำซุป” ที่ต่างจากร้านอาหารทั่วไป

แต่เมื่อลงมือทำจริง ๆ ทุกอย่างไม่มีคำว่าง่าย แต่เธอก็ผ่านมาได้

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด 1-2 ปีนี้สุกี้ตี๋น้อยก็จะเป็นบริษัทหนึ่งที่เข้าไปโลดแล่นในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างแน่นอน

ตามไปอ่านวิธีคิดของเธอ สาวน้อยหลายพันล้านที่ต้องบอกว่า “เมื่อคิดต่างจากคนอื่นจะเห็นโอกาสเต็มไปหมด”

ความสำเร็จของ นัทธมน พิศาลกิจวนิช เจ้าของและผู้ก่อตั้งสุกี้ตี๋น้อย ที่ปีนี้เพิ่งมีอายุ 32 ปีนั้น คือ role model ของคนรุ่นใหม่อีกหลายคนมาก

ชีวิตของเธอในวัยเด็กอาจจะไม่มีดราม่า เพราะมาจากครอบครัวที่มีต้นทุนเรื่องกำลังทรัพย์ประมาณหนึ่ง

ในอดีตเธอคือลูกสาวของเจ้าของธุรกิจร้านอาหารย่านบางเขน ที่สามารถส่งเสียเธอให้ไปเรียนต่อในประเทศออสเตรเลียได้ตั้งแต่เธออายุเพียง 14 ปี

จนกระทั่งจบปริญญาตรีด้าน Economics and Finance จาก University of Melbourne และปริญญาโท Marketing & Management ด้าน Luxury Brand  จากประเทศฝรั่งเศส

กว่า 10 ปีที่เธอใช้ชีวิตในต่างประเทศ  หลังจากนั้นก็กลับมาทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศอีกประมาณ 2 ปี

จุดเปลี่ยนในชีวิตของเธอเริ่มต้นตรงนี้

ในวัยเพียง 25 ปี เธอเริ่มมีคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างจริงจังกับชีวิตว่าอีก 3 ปี 5 ปีข้างหน้า ตำแหน่งที่เธอควรจะได้ เงินเดือนที่จะได้รับสามารถตอบโจทย์ชีวิตอย่างที่เธอต้องการหรือไม่

เมื่อคิดว่าไม่น่าใช่ เธอเลยลาออกเพื่อหาเส้นทางเดินใหม่

การทำร้านอาหารน่าจะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ง่ายที่สุด เพราะมีคุณพ่อคอยเป็นที่ปรึกษา แต่การทำสวนอาหารอย่างที่ครอบครัวทำ อาจจะไม่สนุก เพราะการขยายสาขามันไม่ง่าย การควบคุมคุณภาพลำบาก เธอเริ่มมองธุรกิจอาหารอย่างอื่นแทน

แล้วก็มาลงตัวกับสุกี้ เพราะไม่น่ายาก ส่วนประกอบหลัก ๆ ที่ทำให้ลูกค้าติดใจมี 2 อย่าง คือ “น้ำจิ้ม” กับ “น้ำซุป”

แต่เมื่อลงมือทำจริง ๆ ทุกอย่างไม่มีคำว่าง่าย

Key Success สำคัญของนัทธมนอยู่ที่การคิดต่างจากคนอื่น ๆ

จะว่าไปแล้ว ดีเอ็นเอ ความต่าง ความแปลกก็เริ่มมาจากตัวเธอนั่นล่ะ คนที่จบ Luxury Brand มา แต่กลับมาขายสุกี้ราคาหัวละ 199 บาท (ปัจจุบันปรับราคาเป็น 219 บาท) ไม่ใช่เรื่องที่เห็นกันง่าย ๆ

การคิดต่างอย่างแรกของเธอ คือ

เรื่องราคาและเวลาเปิด-ปิดร้าน

ในราคาประมาณนี้ ร้านทั่วจะไม่ใช่ร้านในห้องแอร์ ไม่มีที่จอดรถ และไม่สามารถตกแต่งได้สวยงามดูดีนัก

แต่สุกี้ตี๋น้อยกลับมีทุกอย่างที่คนอื่นไม่มี เธอเน้นทำหน้าบ้านให้สวย คุณภาพอาหารดี บริการต้องเกินความคาดหมาย จากนั้นค่อยไปควบคุมต้นทุนหลังร้าน

เพราะมีวิธีคิดที่ว่า ต่อให้ทำต้นทุนได้ดีแค่ไหน ถ้าไม่มีลูกค้าเข้าร้าน ก็คือไม่มีรายได้เลย

เวลาเปิดร้านคือเที่ยงวันยันตี 5 เพราะมองว่ากลุ่มคนที่เลิกงานดึกหลัง 3 ทุ่ม 4 ทุ่มยังมีอีกมากมาย เป็นความท้าทายที่กลายเป็นเรื่องที่เธอคิดถูก

ไม่ขายแฟรนไชส์

นัทธมนยืนยันเสมอว่าจะไม่เร่งสร้างรายได้ด้วยการขยายสาขาผ่านการขายแฟรนไชส์ เพราะไม่มั่นใจในการควบคุมคุณภาพ ควบคุมพนักงานได้ดี

การเลือกผู้ร่วมทุน

การยอมให้กลุ่ม เจมาร์ท เข้ามาถือหุ้น 30% นอกจากได้เงินทุนก้อนใหญ่ 1,200 ล้านบาทแล้ว ยังได้เจมาร์ทมาช่วยในเรื่องไอที เรื่องระบบหลังบ้านซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ถนัด แต่เป็นสิ่งจำเป็นมากในโลกการทำธุรกิจปัจจุบัน

ทำงานหนัก เมื่ออยากได้มาก ก็ต้องลงแรงมาก 

นัทธมน หรือ “คุณเฟิร์น” ของพนักงาน ไม่ได้มาในสไตล์ลูกคุณหนู ลูกเถ้าแก่ เธอเคยเล่าให้วิทวัส สุนทรวิเนตร์ ในรายการตี 10 ฟังว่า ในช่วงปีแรก ๆ ลงลุยงานทุกอย่างเอง ตั้งแต่ไปตลาดสด ซื้อของ เลือกผักเอง เรียนรู้ทุกเรื่อง ลงรายละเอียดด้วยตัวเองในทุกขั้นตอน และเป็นแอดมินเพจเองด้วย

แม้แต่การถ่ายรูปรีวิวอาหาร เคยจ้างคนมาถ่ายรูป แต่ในที่สุดก็ต้องขอจับกล้องเอง เพราะรู้ดีว่าควรจะโชว์ตรงไหน อะไรที่ดูน่ากิน

และทุกครั้งที่จัดอาหารออกจากครัว ได้เตือนน้อง ๆ ว่าทุกจานลูกค้าจะต้องถ่ายรูปลงโซเชียล ดังนั้น ต้องวางออกมาให้สวยงาม จนกระทั่งเปิดสาขาที่ 30 ภาระที่มีมากขึ้น เลยเริ่มจ้างฝ่ายมาร์เก็ตติ้งเข้ามาอย่างจริงจัง

 สร้าง “คน” ต้องได้ “ใจ”  

ธุรกิจที่ใช้แรงงานเยอะ ๆ ต้องรักคนงานให้มาก ๆ ด้วย เป็นวิธีคิดของเธอ ดังนั้น เมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมาตี๋น้อยประกาศแจกโบนัสพนักงาน รวม 110 ล้านบาท

โดยเฉพาะพนักงานที่สาขานั้นจะได้โบนัสรายไตรมาส 3 เดือนครั้ง จะเป็นจำนวนเท่าไรต่อคนขึ้นอยู่กับว่าสาขาที่ทำอยู่ในเกรดไหน ซึ่งการได้เกรดขึ้นอยู่กับคะแนนของการเข้าไปสุ่มตรวจการทำงานในทุกสาขาเดือนละประมาณ 3 ครั้งว่ามีประสิทธิภาพตรงกับที่กำหนดไว้หรือไม่

และพอปลายปีพนักงานทุกคนก็จะได้โบนัสอีก 2.5 เดือนอีกรอบ

เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ Big Goal

การเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นแนวทางที่ อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ผู้ก่อตั้งอาณาจักรเจมาร์ท เคยพูดไว้ชัดเจนว่า สุกี้ตี๋น้อย บริษัทร่วมทุนล่าสุด คือหนึ่งในบริษัทที่เจมาร์ทจะผลักดันให้เข้าตลาดฯ ภายในปี 2567

นัทธมนเองเคยกล่าวในงานสัมมนา Thailand Marketing Day ว่าการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ ถือเป็นโบนัสในการทำธุรกิจ และที่สำคัญเป็นการเปลี่ยนจาก Family Business มาบริหารอย่างมืออาชีพ และเธอยังเห็นโอกาสเต็มไปหมด

ปัจจุบันสุกี้ตี๋น้อยเปิดสาขาไปทั้งหมด 62 สาขา ในปี 2567 นี้ผ่านไปแค่ 3 เดือนเปิดไปแล้วถึง 7 สาขา

สาขาล่าสุดเพิ่งเปิดไปเมื่อวันที่ 3 เมษายน ในจังหวัดอุดรธานี

แต่ละสาขามีลูกค้าประมาณ 800 คนต่อวัน รวมทุกสาขามีลูกค้าประมาณ 5-6 หมื่นคนต่อวัน

ในปี 2566 ยังเปิดเพิ่มอีก 3 แบรนด์ คือ ข้าวแกงตี๋น้อยปันสุข และ Teenoi Express  Teenoi Pop Up Cafe

ดูเหมือนว่าวันนี้เธอยังมีพลังล้นเหลือ และเชื่อว่าหลายคนกำลังคอยลุ้นดูบทต่อไปหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ของสุกี้ตี๋น้อยกัน

——————————————————————————————————————-

 ผลประกอบการ  5 ปี ของ สุกี้ตี๋น้อย

ปี  2562 รายได้ 499 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท

ปี 2563 รายได้ 1,223 ล้านบาท กำไร 140 ล้านบาท

ส่วนปี 2564 รายได้ 1,572 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท

ต่อมาปี 2565 รายได้ 3,976 ล้านบาท กำไร 591 ล้านบาท

ล่าสุดปี 2566 รายได้ 5,244 ล้านบาท  กำไร 913 ล้านบาท

 

ขอบคุณภาพจาก IG fernsukiteenoi

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer