Work/ด้วยการที่ Gen Y และ Gen Z ครองสัดส่วนมากเกินครึ่งหนึ่งของตลาดแรงงานทั่วโลก ณ ปัจจุบัน และเป็นกำลังสำคัญของบริษัทส่วนใหญ่ ประเด็นที่เกี่ยวกับคนทั้ง 2 กลุ่มนี้จึงได้รับความสนใจอยู่เสมอ

พร้อมกันนี้ยังเป็นการสะท้อนถึงสภาพการณ์ และความท้าทายต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งเรื่องที่กำลังเป็นปัญหาในสังคมการทำงานยุุคนี้ ซึ่งยุคก่อน ๆ ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นปัญหาอีกด้วย

ข้อมูลจากรายงาน State of Global Workforce ของบริษัทสำรวจความคิดเห็น Gallop ในสหรัฐฯ ซึ่งสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างคนวัยทำงานทั่วโลก ในเรื่องภาพรวมสภาพการทำงาน

ระบุว่า 20% ของกลุ่มตัวอย่างยอมรับว่าเหงาเป็นประจำ (Daily Loneliness) และกลุ่มที่เผชิญปัญหาดังกล่าวมากสุดคือ กลุ่มอายุ 35 ปีลงมา คิดเป็น 25% ของกลุ่มตัวอย่าง

ข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าพนักงานกลุ่ม Gen Y และ Gen Z คือกลุ่มที่เหงามากสุด โดยหัวหน้าทีมที่ดูแลการสำรวจนี้กล่าวว่า Daily Loneliness เกิดจากสภาพแวดล้อมและบริบทการทำงานยุคนี้ที่เปลี่ยนไป

หลังคนวัยทำงานทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) กันมากขึ้น ซึ่งแม้ช่วยให้ทำงานได้สะดวก และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของพนักงาน

แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้พนักงานได้เข้าสังคม ได้คุยกันแบบเห็นหน้าค่าตาน้อยลงไป จนความเหงากลายเป็นปัญหาขึ้นมา

สำนักข่าว CNBC ในสหรัฐฯ ที่นำเรื่องนี้มาตีแผ่ยังได้วิเคราะห์ผ่านทัศนะของนักจิตวิทยาด้วยว่า พนักงานกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่เกิดภาวะ Daily Loneliness จะมีกะจิตกะใจทำงาน

และรู้สึกมีส่วนร่วมกับงานรวมถึงกับคนในบริษัทน้อยลง จนที่สุดประสิทธิภาพในการลดลงตามไปด้วย ดังนั้น จึงถือเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข

 

มองความเหงาให้เข้าใจ: วิธีแรกในการจัดการกับภาวะ Daily Loneliness คือ ทำความเข้าใจความเหงา โดยควรมองว่าอย่างเป็นกลาง คิดว่าทุกคนก็อาจจะเหงากันได้ และลดทัศนะที่ว่าความเหงาเป็นเรื่องเลวร้าย

การเข้าใจความเหงาจะทำให้คุณรู้ว่ามันมีที่มาจากอะไร และหาวิธีจัดการความเหงาได้อย่างเหมาะสม

ท่องไว้ต้องต่อจนติด: วิธีต่อมาในการจัดการกับภาวะ Daily Loneliness คือต่อให้ติดกับผู้คน โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานและควรเป็นการติดต่อ การสนทนากันแบบเห็นหน้าค่าตาด้วย

เพราะเป็นการเปิดทางให้สานสัมพันธ์ สร้างปฏิสัมพันธ์และเข้าสังคม ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้น จริงอยู่ที่ยุคนี้มีเทคโนโลยีมากมายช่วยให้เราติดต่อกันได้สะดวกทุกที่ ทุกเวลา

และยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางแต่ก็ไม่ควรใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มากเกินไป จนกลายเป็นยิ่งทำให้เราห่างกันมากกว่าเดิม

สับสวิตช์เปลี่ยนทางชีวิตบ้าง: อีกวิธีที่ช่วยให้ภาวะ Daily Loneline ลดลงไปได้ โดยเฉพาะถ้าคุณ Work from Home เต็มที่หรือทำงานจากที่บ้านสลับกับเข้าบริษัท

คือออกไปทำกิจกรรมนอกห้องที่ใช้ชีวิตอยู่ตลอด 5 วันทำงานในแต่ละสัปดาห์บ้าง โดยนี่จะเป็นโอกาสให้คุณได้เจอผู้คนและสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ โดยที่วางเรื่องงานทิ้งไว้บนโต๊ะ

พร้อมให้ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนตัว ซึ่งจะช่วยให้เลือดลมสูบฉีด และได้ออกกำลังกาย อันจะดีกับสุขภาพอีกด้วย ♦/cnbc


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer