Trend/มีขึ้นย่อมมีลง และเมื่อรุ่งสู่จุดสูงสุดได้ก็ต้องมีร่วงเข้าสักวัน สัจธรรมดังกล่าวใช้ได้กับทั้งชีวิตและธุรกิจ รวมไปถึงเทรนด์ต่าง ๆ ที่ไม่ว่าเคยดังสะเทือนวงการมาแค่ไหน ก็ต้องมาถึงจุดตกต่ำ
เหมือนจักรวาลคอนเทนต์ซูเปอร์ฮีโร่ค่าย Marvel (Marvel Cinematic Universe-MCU) ในมือ Disney ที่เริ่มจากหนัง Iron-Man ในปี 2008 ซึ่งต่อเนื่องสู่หนังซูเปอร์ฮีโร่อีกราว 30 เรื่อง และแตกออกเป็นซีรีส์อีกหลายเรื่อง

ปี 2023 MCU ร่วงสู่ขาลงไม่ต่างจากนกเคยบินสูงที่ปักหัวร่วงลงก้นเหว หลัง The Mavels เปิดตัวในสหรัฐฯ ได้เพียง 47 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,700 ล้านบาท) ต่ำสุดในหนัง MCU ทั้งหมด
ต่ำกว่ารายได้เปิดตัว 58 ล้านดอลลาร์ (ราว 2,100 ล้านบาท) ที่หนัง The Incredible Hulk ทำไว้ตั้งแต่ปี 2008
สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ Disney ถูกจับตามองว่า จะกู้วิกฤตอย่างไร โดยปี 2024 เราจะได้เห็นกันว่า แผนปลุก MCU แบบฉีกกฎ ที่มีซูเปอร์ฮีโร่ชุดแดงตัวแสบนั้นจะได้ผลหรือไม่

Disney วางคิวฉาย Deadpool & Wolverine หนัง MCU เรื่องล่าสุด ไว้ช่วงปลายกรกฎาคมนี้ ซึ่งความน่าสนใจมีมากกว่าการเป็นแค่หนัง MCU เรื่องเดียวของปี ลดลงจากช่วงรุ่งสุด ๆ ที่เคยมีออกมาถึง 5 เรื่อง
ความน่าสนใจแรกของ Deadpool & Wolverine คือ ตัวละคร Deadpool โดยนอกจากแกนที่ทำให้เป็นซูเปอร์ฮีโร่อย่างพลังพิเศษ ความเก่งเหนือมนุษย์ และการช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากแล้ว

Deadpool ทำตรงกันข้ามกับซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง ทั้งพูดคำสบถ-คำหยาบติดปาก คุ้มดีคุ้มร้าย ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แถมบางครั้งยังหันมาทำร้ายพวกเดียวกันเองอีกด้วย
โดยนี่เป็นการแสดงว่า Disney หันมาใช้วิธีนอกกรอบและฉีกกฎ ผ่านตัวละครที่ไม่ใช่คนดีขาวสะอาด เรื่องเสียดสี ตลกร้าย ประชดประชัน และจิกกัด

รวมไปถึงกล้าแสดงให้เห็นด้านมืดของคนดีหรือด้านดีของตัวร้าย หลังเห็นว่าน่าจะไปได้ สอดคล้องกับเทรนด์ในปัจจุบัน เพราะช่วงไม่กี่ปีมานี้ คอนเทนต์แนวซูเปอร์ฮีโร่ทรงแบดอย่าง The Boys ซีรีส์ของแพลตฟอร์ม Amazon Prime กับ Venom

สองภาค (ที่ทำร่วมกับ Sony) ก็ประสบความสำเร็จ ขณะที่หนัง Deadpool สองภาคแรกก็ทำเงินทั่วโลก รวม ๆ กันกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 54,500 ล้านบาท)
จากทุนสร้างรวม ๆ กันเพียง 168 ล้านดอลลาร์ (ราว 6,100 ล้านบาท) เท่านั้น
ความน่าสนใจข้อต่อมาของหนัง Deadpool & Wolverine คือใช้สูตรหนังคู่หู-คู่กัดที่ต่างกันสุดขั้ว โดยขณะที่ Wolverine เป็นซูเปอร์ฮีโร่คนดีตามขนบ แต่ Deadpool เป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ทำเรื่องถูกด้วยวิธีการผิด ๆ

นอกจากนี้ จากตัวอย่างจะเห็นว่าทั้งคู่หันมาสู้กันเองและแซวกันไปมาอยู่บ่อย ๆ ท่ามกลางภารกิจปราบเหล่าร้าย
มีการวิเคราะห์กันว่า สูตรนีัน่าจะได้ผลกว่า สูตรสามประสานแต่มุกฝืดบวกพลังนักแสดงเอเชียเอาใจสาว ๆ ของ The Mavels

ประเด็นสุดท้ายที่ทำให้ Deadpool & Wolverine น่าสนใจคือ ความหลากหลายทางเพศที่ซ่อน แทรก และแฝงอยู่ในหนัง เริ่มจาก Deadpool เองที่เป็นตัวละครที่เปิดกว้างทางเพศ (Pansexual) มาตั้งแต่ที่เป็นหนังสือการ์ตูน
และพอเป็นหนังก็แสดงให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ กับการยอมรับกลุ่ม LGBTQ ผ่านตัวละครในเรื่องจากหนัง 2 ภาคแรก

และที่ถูกจับตามองมากสุด คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง Deadpool กับ Wolverine แม้ส่วนใหญ่จะเป็นในแนวเพื่อนคู่กัด แต่ก็มีความโรแมนติกแบบชายรักชายปรากฏออกมา จนข้ามเฟรนด์โซนให้เห็นแล้ว
ทั้งในตัวอย่างและโปสเตอร์ จนกูรูเรื่อง LGBTQ เอ่ยปากชมว่า ทีมผู้สร้างกล้าและทำหนังให้ร่วมสมัยเข้ากับปัจจุบันที่เป็นยุคแห่งความหลากหลายทางเพศ
BBC ที่นำหนัง Deadpool & Wolverine ตีแผ่ วิเคราะห์ผ่านทัศนะของกูรูวงการหนังว่า ที่สุด Disney จะหาที่ทางและเปิดโอกาสให้ตัวละครได้มีเวทีของตัวเองเสมอ แม้เป็นตัวร้ายก็ตาม

เหมือนที่ Maleficent แม่มดจาก Snowwhite ก็มีหนังของตัวเองออกมาแล้ว 2 ภาค และประสบความสำเร็จพอสมควรเสียด้วย
มีการคาดกันว่า Deadpool & Wolverine น่าจะทำเงินเปิดตัวได้ 160 ล้านดอลลาร์ (ราว 5,800 ล้านบาท) สูงกว่า Inside Out 2 หนึ่งในหนัง Disney ที่ประสบความสำเร็จมากสุดของปี 2024 เสียอีก

ซึ่งหากเป็นไปตามนี้ Deadpool จะเป็นหนังอีกเรื่องที่พลิกสถานการณ์ให้ Disney และปลุกหนัง MCU กลับมาปล่อยพลังทำรายได้ถล่มทลายได้อีกครั้ง พร้อมแนวทางการเล่าเรื่องที่เปิดกว้างและคิดนอกกรอบได้มากขึ้น/bbc
–
