ไทยเบฟเวอเรจ อาณาจักรธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารสัญชาติไทย ที่โลดแล่นอยู่ในธุรกิจสุรา เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และธุรกิจอาหาร ทั้งในไทยและอาเซียน แม้พอร์ตธุรกิจที่สร้างรายได้กินสัดส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ซึ่งยังเป็นสัดส่วนน้อย แต่มีแนวโน้มการขยายตัวที่ดี บริษัทจึงพยายามผลักดันให้เติบโต เพื่อเสริมแกร่งกลุ่ม และครองตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 7 หมื่นล้านบาท

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของกลุ่มมีรายได้จากการขาย 15,553 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตามปริมาณขายเพิ่มขึ้น 5.3% โดยมีปัจจัยหลักมาจากกิจกรรมส่งเสริมตราสินค้าที่ประสบความสำเร็จ ประกอบกับการขยายการกระจายสินค้าให้กว้างขวาง โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) 1,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% จากประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้นและต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง แม้จะมีการลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาดเพิ่มขึ้นก็ตาม

ขาธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยเบฟยังมีบทบาทน้อยในพอร์ตหลักของไทยเบฟ ด้วยสัดส่วนไม่เกิน 7% ตามหลังพอร์ตสุราและเบียร์ มีตราสินค้าหลักอย่าง คริสตัล เอส (est) และโออิชิ แต่ในปีหนึ่งเมื่อมองในแง่ Volume ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์รวมผลิตเครื่องดื่มมากกว่า 3,000 กว่าล้านลิตรต่อปี

คุณโฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการประเทศไทย ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานดิจิทัลและเทคโนโลยี เปิดเผยว่า Performance ของทั้งคริสตัล โออิชิ และเอส ยังคงทำผลงานได้ดีต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากระดับราคาต้นทุนที่สถานการณ์ดีขึ้น และแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงินของรัฐบาลด้วยส่วนหนึ่ง

แต่โจทย์ขณะนี้คือมีหลายแบรนด์ที่เป็น Core Product เป็นนัมเบอร์ 1 กลุ่มจะต้องต่อยอดให้แข็งแรงมั่นคงมากขึ้น แต่ก็มีบางโปรดักส์ที่เป็นเบอร์รอง จะต้องทำให้ขึ้นมาเป็น No.1 ให้ได้

“คริสตัล” จากเบอร์รองขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของตลาดน้ำดื่ม

นับแต่เดือนกรกฎาคม คริสตัลได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของตลาดน้ำดื่มในประเทศไทยอ้างอิงจากนีลเส็น ด้วยสัดส่วน 17.8% ในแง่ของ Market Value นำห่างเบอร์รองไป 3 พอยต์ การเติบโตเป็นผลจากการกลับเข้าไปจำหน่ายหลังหายไปสามปีในช่องทาง Lotus ที่มีปริมาณซื้อสูง ซึ่งขณะนี้ยังกระจายไปในช่องทางดังกล่าวเพียง 60% เท่านั้น ยังเหลือช่องว่างในการเติบโตไปได้อีกมาก

และด้วยการเดินหน้าสร้างความเชื่อมโยงกับผู้บริโภคอยู่เสมอ โดยชูจุดยืนในฐานะน้ำดื่มคุณภาพสูง ที่นอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพกายแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิตใจและอารมณ์ด้วย  นอกจากนี้ คริสตัลยังได้เข้าร่วมโครงการเพื่อสังคมในประเทศหลายโครงการ เพื่อเน้นย้ำถึงการเป็นน้ำดื่มคุณภาพดีที่สุดสำหรับคนไทย

เอส Performance มาดีในปีนี้

สำหรับเครื่องดื่มอัดลมเอส Performance ค่อนข้างดี ที่ผ่านมามีการยกระดับตราสินค้าผ่านการพลิกโฉมครั้งใหญ่ภายใต้แคมเปญ “เอส เกิดมาซ่า… กล้าเป็นตัวเอง” เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ด้วยแนวคิดที่ว่าชาว Gen Z ทุกคนเกิดมาซ่าในแบบของตัวเอง และเอสพร้อมสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้ทำในสิ่งที่ชอบ พร้อมทั้งออกสินค้ารสชาติใหม่ โดยกลุ่มจะเร่งการเติบโตของเอสในตลาดผ่านการใช้แคมเปญต่าง ๆ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค

โออิชิแบรนด์ระดับตำนานอยู่มานานเกินสองทศวรรษ

ตราสินค้าชาเขียวโออิชิ กลุ่มได้นำเสนอความเป็นญี่ปุ่นของตราสินค้า และดำเนินกลยุทธ์เพื่อครองใจคนรุ่นใหม่ผ่านแคมเปญร่วมกับโปเกม่อน อีกทั้งยังเดินหน้าตอบโจทย์กระแสใส่ใจสุขภาพที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวโออิชิ กรีนที ชาเขียวกลิ่นข้าวโพดฮอกไกโด สูตรไม่มีน้ำตาล ซึ่งผสานรสชาติชาเขียวที่สดชื่นเข้ากับกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของข้าวโพดญี่ปุ่น

ซึ่งการลงทุนในประเทศไทยจะเป็นการลงทุนในเครื่องจักรเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตเป็นหลัก แต่เป็นการผลิตที่ต้องสอดรับกับแนวทางสนับสนุนความยั่งยืน (ESG) เป็นหลัก

ด้านตลาดต่างประเทศ กลุ่มได้แบ่งตลาดไว้อย่างชัดเจน อันประกอบด้วย Strategic Core Market ได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย เวียดนาม เมียนมา มีโครงข่ายการกระจายสินค้า การผลิตที่ครอบคลุม ทั้งยังมี Strategic Market อย่างสิงคโปร์ กัมพูชา ลาว ที่ขนาดตลาดอาจจะเล็กลงมา แต่ไม่สามารถละเลยได้ รวมถึง Algeria Market ที่มองไว้เป็นอินโดนีเซีย หรือประเทศที่เป็นตลาดใหญ่ จะใช้ฮาลาลโปรดักส์ในการเจาะตลาดเข้าไป

กลุ่ม NAB ลงทุนในต่างประเทศ 9,500 ล้านบาท

ทุ่มเงินลงทุนครั้งใหญ่ 8,000 ล้านบาท ลุยตลาด Dairy Product สร้าง Agri-Valley ฟาร์มโคนม Close loop Farm เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสเพราะมาเลเซียนำเข้านมสดในประเทศน้อยลง โดยฟาร์มจะมีกำลังการผลิต 200 กว่าล้านลิตร จากโคนม 2 หมื่นตัว บนพื้นที่ 2,726 เฮกตาร์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในต้นปีหน้า การเลือกลงทุนก้อนใหญ่ในมาเลเซีย ด้วยศักยภาพของการเป็นฮาลาลฮับ ที่เชื่อมโยงกับทั้งประเทศอินโดนีเซีย บรูไน ขยายไปตามประเทศใกล้เคียง

ขณะที่กัมพูชา รวมการลงทุนของไทยเบฟและ F&N ที่ 1,500 กว่าล้านบาท ในโรงงานผลิตภัณฑ์นมและโรงงานชาเขียวโออิชิ เพื่อรองรับความต้องการด้าน beverage ที่ขยายตัว

การรวมกลุ่ม F&N เสริมแกร่งพอร์ตโฟลิโอ

การรวมตัวของกลุ่มธุรกิจเดิมไทยเบฟ ร่วมกับ F&N จะทำให้พอร์ตโฟลิโอมีสินค้าที่ดังมากขึ้น การเสริมแกร่งจากผลิตภัณฑ์ F&N ที่ได้รับความนิยมในมาเลเซียและสิงคโปร์ รวมถึงตลาดระดับอาเซียนผ่านความร่วมมือกับเฟรเซอร์ แอนด์ นีพ กับตราสินค้า 100 พลัส, TEA POT, Magnolia, F&N Seasons, F&N Ice Mountain

โดยที่การเลือกสินค้า F&N เข้ามาทำตลาดในไทยนั้น จะปรับให้เข้ากับเทรนด์ผู้บริโภค เช่น 100 พลัส ที่คนไทยพอจะคุ้นหูอยู่บ้าง ต้องพลิกมุมเครื่องดื่มให้พลังงานเข้ากับกลุ่มความต้องการโปรตีน ตลอดจนปรับสูตรแบบไม่อัดลมเป็นตัวเลือก

นอกจากนี้ ในอนาคตกลุ่ม NAB ยังโฟกัสที่ตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ Health & Wellness รองรับเทรนด์การดูแลตนเองของผู้บริโภค โดยในช่วงเวลาสิ้นปีนี้เตรียมนำแบรนด์สินค้าใน F&N ในตระกูลผลิตภัณฑ์สุขภาพภายใต้ชื่อ “NutriWell” มาบุกไทยด้วยกัน 2 Variance คือ Flag seed และ Oat Kinnaur ประเภทซูเปอร์ฟู้ด มาเป็นพรีเมียมไลน์เพื่อสุขภาพ ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพข้อใหญ่ของคนเอเชีย เช่น หัวใจ ลำไส้ ต้านความสูงวัย และภูมิคุ้มกัน

ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ยังคงดำเนินการภายใต้แนวคิด “เติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งสู่อนาคตยุคดิจิทัล” โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์หลัก 3 ประการ ได้แก่ ตราสินค้าและการเข้าถึง ความเป็นเลิศด้านการผลิตและห่วงโซ่อุปทานและความยั่งยืน

กลยุทธ์ Brand & Reach และAI

กลุ่มมุ่งเสริมความแกร่งของตราสินค้าและการเข้าถึง (Brand & Reach) เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยนำเสนอตราสินค้าเครื่องดื่มที่หลากหลายเพื่อรองรับความต้องการและความชื่นชอบของผู้บริโภคกลุ่มต่าง ๆ ที่กำลังเปลี่ยนไป

รวมทั้งขับเคลื่อนความเป็นเลิศด้านกระบวนการผลิตและผลักดันประสิทธิภาพของเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง โดยได้ติดตั้งเครื่องเป่าขวดขึ้นรูปเพื่อรองรับกระบวนการผลิตขวดภายในกลุ่ม ซึ่งช่วยให้กลุ่มสามารถลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน

นอกจากนี้ กลุ่มยังได้ดำเนินการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของโรงงานผลิตด้วยการนำเทคโนโลยีการจัดการด้านดิจิทัลมาใช้ ส่งผลให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต อีกทั้งยังนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาปรับใช้ในกระบวนการผลิตและกระจายสินค้า เพื่อเชื่อมโยงฐานการผลิตและเครือข่ายการขนส่งที่ครอบคลุมของไทยเบฟให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่มความคล่องตัวของห่วงโซ่อุปทานด้วยการปรับขนาดทีมขายให้เหมาะสม รวมถึงปรับขนาดยานพาหนะขนส่งให้เหมาะกับแต่ละเส้นทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้วย

ด้านความยั่งยืน (Sustainability)

ใช้พลังงานสะอาดซึ่งได้จากระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาโรงงานแต่ละแห่ง อีกทั้งยังพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับชาเขียวโออิชิ ด้วยการสร้างสรรค์ฝาขวด PET แบบใหม่ที่ยึดติดกับปากขวด เพื่อให้สามารถเก็บทั้งขวดและฝาขวดไปรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเริ่มใช้ขวดที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล (rPET) 100% ในบางผลิตภัณฑ์ของตราสินค้าเอสโคล่าอีกด้วย

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ไทยเบฟได้ดำเนินการตามกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อรวมธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของทั้งกลุ่มให้เป็นหนึ่งเดียว ผ่านการนำหุ้นของโออิชิออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และอยู่ระหว่างขั้นตอนการนำหุ้นของเสริมสุขออกจากตลาด รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน F&N ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ผ่านสัญญาการแลกเปลี่ยนหุ้นกับ TCCAL เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นไทยเบฟจะได้รับประโยชน์จากต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลงจากขนาดการผลิตที่ใหญ่ขึ้น (Economies of Scale) อีกทั้งยังทำให้การดำเนินงานด้านห่วงโซ่อุปทานและการขนส่งสินค้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดยภาพรวมในปีนี้มองว่าตลาดธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จะยังเติบโตได้ เป็นปีที่ดีทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งกลุ่ม Non-Alcohol Beverage ของไทยเบฟยังโตตามตลาด

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer