Trend/แม้หนังภาคแรกเปิดตัวสวยจนได้ไฟเขียวให้สร้างภาคต่อ แต่ก็ยังต้องมาลุ้นอยู่ดีเมื่อช่วงฉายจริงว่า จะทำเงินได้แซงหน้าภาคแรกจนถึงขั้นโกยรายได้ทลาย หรือจะผิดหวังถูกตราหน้าว่าเป็นภาคต่อสุดพัง เพราะล้มเหลวด้านรายได้

ทว่าจากความสำเร็จของภาคแรกนี่เองทำให้ค่ายหนังเพิ่มงบการสร้างให้ภาคสองอยู่เสมอ เพราะเห็นความหวังที่สดใสและคาดว่าจะมีข่าวดีเรื่องรายได้ที่มากกว่าภาคแรกหลายเท่ารออยู่

แต่สำหรับ Joker : Folie a Deux คือความผิดหวังและข่าวร้าย

Joker : Folie a Deux ทำรายได้ช่วงเปิดตัวในสหรัฐฯ ไปเพียง 37.8 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,266  ล้านบาท) ถือว่าน่าผิดหวังอย่างมาก เพราะนี่คือภาคต่อของ The Joker หนังที่ทำเงินไปมากถึง 1,079 ล้านดอลลาร์ (ราว 36,100 ล้านบาท) มากสุดอันดับ 6 ของปี 2019

ท่ามกลางการคาดการณ์ว่ามีความเสี่ยงสูงที่หนังจะทำให้ค่ายหนัง Warner ต้องขาดทุน เพราะใช้ทุนสร้างไป 200 ล้านดอลลาร์ (ราว 6,700 ล้านบาท) ดับฝันการสานต่อเรื่องราววายร้ายตัวตลก คู่ปรับสำคัญของ Batman ซูเปอร์ฮีโร่ เบอร์ต้น ๆ ของค่ายการ์ตูน DC Comics

มีหลายสาเหตุที่ทำให้ Joker : Folie a Deux เป็นหนังพังตั้งแต่เปิดตัวเรื่องล่าสุดในปี 2024 และเมื่อลาโรงไปอาจเป็นหนังฟุบอีกเรื่องในจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ ในยุคฟองสบู่หนังซูเปอร์ฮีโร่แตก

แบบเดียวกับ The Marvels หนังเมื่อปี 2023 ของ Disney ที่เปิดตัวต่ำสุด ด้วยตัวเลขรายได้สัปดาห์แรกในสหรัฐฯ เพียง 47 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,573 ล้านบาท)

สาเหตุแรกคือความมั่นใจที่มากเกินไป โดย Warner คิดไปเองว่า เมื่อหนังภาคแรกที่ใช้ทุนสร้างเพียง 60 ล้านดอลลาร์ (ราว 2,000 ล้านบาท) ทำเงินทะลุพันล้านดอลลาร์ หากภาค 2 เพิ่มทุนสร้างเป็น 200 ล้าน (ราว 6,700 ล้านบาท) ทั้งรายได้และรางวัลก็น่าจะมากขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย

สาเหตุต่อมาคือ Joker : Folie a Deux เลือกที่จะเล่าเรื่องแบบลงลึกมากเกินไปแทนที่จะเดินไปข้างหน้า แถมยังเต็มไปด้วยการเล่าย้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ขณะเดียวกันยังแทบจะไม่มีฉากทำลายล้างหรือระเบิดตูมตาม แบบที่คอหนังอยากเห็นจาก Joker ตัวร้ายอันดับหนึ่งของ Batman หลังมีให้เห็นในหนังทุกเรื่องก่อนหน้านี้ที่มี Joker อยู่

สำนักข่าว BBC ของอังกฤษวิเคราะห์อิงจากทัศนะของกูรูวงการหนังว่า แม้หนังมาโทนหนังเพลง แต่ก็สามารถเพิ่มฉากรุนแรงให้คุ้มกับที่ได้เรตอาร์ ซึ่งหากทำได้ ก็จะเกิดการพูดแบบปากต่อปากของผู้ชมที่ได้เข้าดู กระตุ้นให้ผู้ชมรายอื่น ๆเข้าไปดูตาม

และนี่ก็เป็นสิ่งที่ค่ายหนังต้องทำในยุคนี้ เพื่อสู้กับคอนเทนต์ในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง รวมไปถึงสื่อโซเชียล

ส่วนสาเหตุสุดท้ายคือ ความผิดพลาดของผู้กำกับ Todd Phillips เพราะแม้ใช้ทุนสร้างก้อนใหญ่กว่าภาคแรก และมีคำว่า Folie a Deux อันหมายถึงจิตผิดเพี้ยนที่ส่งต่อกันของคนสองคน ซึ่งกระตุ้นความอยากดู

พร้อมกันนี้ยังมีนักแสดงเกรดเอ อย่าง Joaquin Phoenix มารับบท Joker แถมได้ Lady Gaga นักร้องดังมาแสดงเป็น Harley Quinn แฟนสาวโรคจิตของ Joker

แต่ฉากรุนแรงและอะไรที่ตื่นตาตื่นใจกลับมีไม่มากให้คุ้มที่ได้คนมากฝีมือคู่นี้มา และคุ้มทุนสร้าง แบบที่หนังใช้ทุนสร้างหลัก 200 ล้านดอลลาร์เรื่องอื่น ๆ ทำกัน

จุดนี้ BBC ถึงกับวิจารณ์ว่า เหมือนตลกร้ายที่ Warner เผาเงินกองโตไปเปล่า ๆ เสียเอง แบบเดียวกับฉาก Joker ที่แสดงโดย Hedge Ledger ในหนัง Batman : The Dark Knight เมื่อปี 2008

รายงานของ BBC ทิ้งท้ายว่า ถ้า Joker : Folie a Deux ขาดทุนหนักเข้าจริง ๆ จะเป็นอุทาหรณ์ให้ทั้ง Warner และค่ายหนังค่ายอื่น ๆ ลงทุนกับหนังแต่ละเรื่อง รวมไปถึงหนังภาคต่ออย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น และวางแผนให้รอบคอบกว่าเดิม

จนเป็นโอกาสให้หนังใช้ทุนสร้างน้อยไปจนถึงระดับปานกลางแต่บทดีและเนื้อเรื่องน่าสนใจ ที่ใช้งบระหว่าง 10 ถึง 50 ล้านดอลลาร์ (ราว 334 ถึง 1,670 ล้านบาท) ได้มีโอกาสสร้างและลงโรงฉายสู่สายตาผู้ชมกันมากขึ้น            

ขณะเดียวกันในภาพใหญ่ยังเป็นการสะท้อนว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ยังไม่พ้นยุคอิ่มตัว ดังนั้น ค่ายหนังกับผู้กำกับที่วางแผนจะทำหนังแนวนี้ ต้องเค้นไอเดียอย่างมากและลุ้นกันตัวโก่งน่าดู ว่าหนังจะประสบความสำเร็จหรือไม่

เพราะขนาดหนัง The Joker ที่สามารถฉีกกรอบและผุดไอเดียใหม่ ๆ ได้จนประสบความสำเร็จได้แล้ว แต่พอทำภาคต่อก็เปิดตัวน่าผิดหวังและมีแนวโน้มจะขาดทุน/bbc


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer