Work/ไม่ว่าผ่านมากี่ยุคสมัย เทรนด์เปลี่ยนไปอย่างไร กรอบเวลาในการทำงานเป็นอย่างไร และมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยหรือไม่ หนึ่งในปัญหาใหญ่ในโลกทำงานที่ไม่เคยหมดไป คือ งานล้นมือ

จากมุมมองของพนักงานหรือลูกน้องแล้ว ต้นเหตุของปัญหานี้มาจากการที่หัวหน้าเอาแต่สั่งงาน และผุดโปรเจกต์ใหม่ ๆ ให้ลูกน้องต้องคิดต้องทำอยู่เรื่อย ๆ จนที่สุดฝ่ายหลังกลายเป็น “เดอะแบก” ที่งานเต็มบ่า

ในระยะยาวปัญหานี้จะเป็นเหตุให้พนักงานที่ทนไม่ไหว ขอถอดใจลาออกไป ส่วนกับพนักงานรุ่นใหม่กลุ่ม Gen Z การลาออกจากงานหนักเกิดได้เร็วขึ้น เพราะพวกเขาโตมายุคที่ทุกอย่างแบบทันใจเพียงกดไม่กี่ครั้งบนสมาร์ตโฟน

และยังให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance หรือสมดุลระหว่างการทำงานกับเรื่อง ๆ อื่นในชีวิต พวกเขาจึงเลือกปกป้องตัวเอง ไม่ทนกับอะไรที่หนักหรือลำบาก และไม่เสียเวลาคิดทบทวนมากเมื่อจะลาออกแต่ละครั้ง

ดังนั้น เมื่อพนักงานแต่ละคนรู้ตัวว่างานตึงมือจนใกล้จะรับไม่ไหว และรับรู้ได้หัวหน้าจะสั่งงานเพิ่มอีก จึงควรหาทางรับมือ ซึ่งสามารถทำได้ผ่าน 3 วิธีในบรรทัดต่อไปนี้

แจงให้รู้ว่าที่ทำอยู่ก็แทบไม่ไหว: วิธีแรกคือการนำงานที่อยู่ในมือมาเปิดให้หัวหน้าได้เห็น พร้อมแจกแจงรายละเอียดต่าง ๆ ที่จำเป็น เช่น ปริมาณ ความคืบหน้า สิ่งที่ต้องทำ และวันส่งงาน

เมื่อหัวหน้าเห็นปริมาณงานและรายละเอียดต่าง ๆ ของงานที่พนักงานกำลังทำอยู่เข้า ก็อาจเบรกหรือชะลอการสั่งงานใหม่ออกไป รวมถึงกลับมามองว่าตัวเองก็มีส่วนผิดที่สั่งงานจนลูกน้องทำงานไม่ทัน

ประโยชน์ที่ตามมาของวิธีนี้คือทำให้ผลงานออกมาดีกว่าเดิม เพราะเปลี่ยนไปเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ขณะเดียวยังช่วยให้ Work-Life Balance ของพนักงานดีขึ้นอีกด้วย

ขอไฟเขียวเรื่องเวลา: วิธีต่อมาที่ช่วยตัดวงจรงานล้นมือก่อนที่ฝ่ายพนักงานจะสู่ขิตและลาออกไป คือ การที่ลูกน้องขอต่อรองเรื่องเวลาโดยอาจเป็นขอยืดเวลาส่งงานบางชิ้นออกไป ขยับเอางานที่คืบหน้ามากมาให้เสร็จแล้วส่งก่อน หรือพักงานที่ยากและต้องใช้เวลาพัฒนามาก ๆ เอาไว้ก่อน

วิธีนี้ถือเป็นการขอคำปรึกษา และให้หัวหน้ามามีส่วนในการตัดสินใจแบบใจเขาใจเรากับลูกน้องมากขึ้น ซึ่งถ้าทำบ่อย ๆ จนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของทีมหรือพัฒนาสู่วัฒนธรรมองค์กร ความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องย่อมดีกว่าเดิม และเปลี่ยนจากทำงานตามที่สั่งมาเป็นทำงานร่วมกันมากขึ้น

ถ้าสุดจริง ๆ ต้องบอกออกไป: มาถึงวิธีสุดท้ายที่สามารถเคลียร์ปัญหาหัวหน้าสั่งงานลูกน้องจนล้นมือ นั่นคือการพูดออกไปตรง ๆ เลยว่าไม่ไหวแล้ว

จริงอยู่ที่วิธีนี้ ฝ่ายลูกน้องต้องใช้ความกล้าพอสมควร และถ้าใช้แล้วหัวหน้าอาจมองว่าลูกน้องทุ่มเทกับงานน้อยลง หรืออาจเลยเถิดไปถึงขั้นตราหน้าว่าไม่สู้งาน แต่ถ้าพนักงานเห็นว่าไม่ไหวจริง ๆ ก็ต้องพูดออกไป

ประโยชน์ของการใช้วิธีนี้ นอกจากลดภาระงานของลูกน้องแล้ว ยังชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่นั้นวิกฤต ปล่อยไว้ไม่ได้อีกต่อไป

และต้องหาทางแก้ไข ก่อนที่จะลามกลายไปเป็นปัญหาใหญ่กระทบต่อภาพรวมขององค์กรไม่ต่างจากการชี้เห็นจุดอ่อนของนักกีฬาที่ต้องแก้ไขเพื่อให้ทำผลงานได้ดีขึ้น หรือบั๊กในโปรแกรม ที่ต้องจัดการเพื่อกันระบบล่มนั่นเอง ♦/cnbc

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer