Trend / เพราะ ฮาโลวีน เต็มไปด้วยงานรื่นเริง ความสนุกสนาน และทำแคมเปญเกาะกระแสได้มากมาย นี่จึงถือเป็นเทศกาลที่สามารถสร้างความคึกคักทางการตลาด โอกาสทางธุรกิจ และเม็ดเงินได้มากมาย 

ดังนั้น ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของเทศกาลนี้ จึงเป็นการสะท้อนความเป็นไปและผลกระทบของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่ถือว่ามีนัยสำคัญ เหมือนเรื่องขององค์ประกอบสำคัญของตัวเทศกาลที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ 

ช็อกโกแลตที่ขายรับเทศกาลฮาโลวีนในสหรัฐฯ ปี 2024 จะลดลงไป จนบริษัทผู้ผลิตขนมหวานต้องปรับแผน ผลักดันขนมที่ทำจากส่วนผสมอื่น ๆ ให้ดูมีความหลากหลาย แต่ขณะเดียวกันก็ลดขนาดหรือปริมาณลง 

ในสายตาผู้บริโภคจะมองว่า มีขนมไว้กิน ตกแต่ง หรือไว้ให้เด็ก ๆ เล่น ทริกออร์ทรีตสำหรับเทศกาล “วันปล่อยผี” ปีนี้ หลายหลากขึ้นและราคาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

ทว่าในความเป็นจริงทั้งจำนวนและปริมาณของขนมที่ทำจากช็อกโกแลตล้วน ๆ ได้ลดลงไป

สถานการณ์ดังกล่าวเกิดจากปรากฏการณ์เอล-นิโญ่ น้ำท่วม และโรคฝักดำ ฉุดให้ปริมาณเมล็ดโกโก้ วัตถุดิบสำคัญที่สุดในการทำช็อกโกแลตทุกประเภท ในตลาดโลกลดลง 

สำนักข่าว CNN ในสหรัฐฯ รายงานอิงจากองค์กรโกโก้สากล (ไอซีโอ) ว่าพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบเหล่านี้มากสุดคือ แถบแอฟริกาตะวันตก แหล่งเพาะปลูกใหญ่สุดของพืชชนิดนี้ โดยมีสัดส่วนมากถึง 70% ของพื้นที่เพาะปลูกโกโก้ทั่วโลก 

ปัญหาดังกล่าวส่งผลต่อเนื่อง โดยทำให้ปริมาณการเพาะปลูกโกโก้สิงหาคม 2024 ลดลง 14.2% จากสิงหาคมปี 2023 จนโกโก้ในตลาดโลกขาดแคลน และมีราคาแพงขึ้น ซึ่งก็ไปกระทบต่อตัวเลขในการดำเนินธุรกิจของบริษัทขนมรายใหญ่

เมื่อสิงหาคม 2024 Hershey’s เผยว่าทำกำไรได้ 287.8 ล้านดอลลาร์ (ราว 9,600 ล้านบาท) ลดลงมากถึง 48.7% จากสิงหาคมปี 2023 โดยแม้คาดว่าหลังจากนี้สถานการณ์จะดีขึ้น แต่ปีนี้ก็ต้องผลักดันขนมแบบอื่น ๆ นอกเหนือไปจากช็อกโกแลต ออกมาก่อน 

ด้าน Mars บริษัทคู่แข่งของ Hershey’s ก็ได้รับผลกระทบจากปริมาณโกโก้ในตลาดโลกลดลง และมีราคาแพงขึ้นเช่นกัน โดยแผนกู้สถานการณ์คือ ผลักดันลูกอมรสผลไม้และหมากฝรั่งออกมาเป็นการทดแทน 

CNN รายงานต่อว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะดำเนินต่อไปจนถึงกันยายนปี 2025 ดังนั้น ปริมาณของขนมหวานกลุ่มช็อกโกแลต ในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ จึงมีแนวโน้มน้อยกว่าปกติต่อไปจนถึงไตรมาส 3 ของปี 2025 เป็นอย่างน้อย 

แต่ขณะเดียวกันจะทำให้ยอดขายขนมกลุ่มไม่ใช่ช็อกโกแลต หรือที่ไม่มีเมล็ดโกโก้เป็นส่วนผสมโตขึ้น ต่อเนื่องจากการเติบโตในปัจจุบัน 

อย่างไรก็ตาม ช็อกโกแลตก็จะยังคงไม่หายไปจากตลาดขนมในสหรัฐฯ โดยสิ้นเชิง เพราะถือเป็นสินค้าขายดี และผู้บริโภคยังต้องการ ยืนยันได้จากยอดขาย 25,900 ล้านดอลลาร์ (ราว 865,000 ล้านบาท) เมื่อปี 2023 ซึ่งคิดเป็นถึงครึ่งหนึ่งของยอดขายขนมหวานปีนั้นของสหรัฐฯ   

สำหรับการลดขนาดหรือปริมาณ แต่ราคาเท่าเดิม หรือไม่เปลี่ยนไปมาก ซึ่งผู้บริโภคแทบไม่สังเกตเห็น หรือ Shrinkflation 

และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริการลดคุณภาพหรือเปลี่ยนส่วนผสม ซึ่งผู้บริโภคแทบไม่สังเกตเห็นเช่นกัน หรือ Skimpflation มักจะเกิดขึ้นเสมอเมื่อเกิดปัญหากับส่วนผสมสำคัญ หรือบริษัทผู้ผลิตได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจ 

ซึ่งกรณีล่าสุดคือ ที่เกิดขึ้นกับช็อกโกแลตในเทศกาลฮาโลวีนปี 2024 ตามที่ได้กล่าวไปแล้วด้านบนนั่นเอง/cnn


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer