ในอุตสาหกรรมการบินพาณิชย์ เต็มไปด้วยการแข่งขันและความท้าทายในหลายมิติ การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของตลาดไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งถ้าให้พูดกันตามตรงก็มีเพียงไม่กี่บริษัทที่เมื่อพูดชื่อไปใคร ๆ ก็รู้จักและหนึ่งในนั้นคือ Airbus บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินสัญชาติยุโรป ที่มีจุดเริ่มต้นจากความพยายามของหลายประเทศในการสร้างเครื่องบินที่สามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่แห่งวงการการบินอย่าง Boeing ให้ได้
หากย้อนกลับไปเมื่อหลายทศวรรษก่อน อุตสาหกรรมการบินพาณิชย์มีเจ้าตลาดอยู่เพียงไม่กี่เจ้า และส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ผลิตจากอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ โดยมี Boeing เป็นผู้นำในตลาดอุตสาหกรรมการผลิตอากาศยาน แต่แล้ว Airbus ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของหลายประเทศในยุโรปก็สามารถ พลิกโฉมหน้าการแข่งขัน และค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่มีศักยภาพทัดเทียมกับ Boeing ได้
เราจะพาผู้อ่านไปย้อนเส้นทางสู่ความสำเร็จของ Airbus ว่าพวกเขาใช้กลยุทธ์อะไรในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบินพาณิชย์ ถ้าพร้อมที่จะตื่นตาตื่นใจไปกับโลกแห่งอุตสาหกรรมการบินแล้ว เราไปท่องนภาพร้อม ๆ กัน
ความเป็นมาของ Airbus จากคู่แข่งเล็ก ๆ สู่ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมการบิน
Airbus เป็นหนึ่งในผู้ผลิตอากาศยานชั้นนำของโลก มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและซับซ้อนที่อยู่คู่อุตสาหกรรมการบินมามากกว่า 5 ทศวรรษ การเดินทางของ Airbus จากจุดเริ่มต้นในฐานะกลุ่มประเทศยุโรปขนาดเล็กสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในด้านเครื่องบินพาณิชย์ เป็นเรื่องราวของความร่วมมือ นวัตกรรม และการเติบโตอย่างมียุทธศาสตร์
จุดเริ่มต้นและการก่อตั้ง
รากฐานของ Airbus เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1960 เมื่อรัฐบาลยุโรปและบริษัทผู้ผลิตอากาศยานเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการร่วมมือกัน เพื่อแข่งขันกับยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ อย่าง Boeing, McDonnell Douglas และ Lockheed ถ้าย้อนกลับไปในตอนนั้น อุตสาหกรรมอากาศยานของยุโรปยังค่อนข้างกระจัดกระจาย แต่ละประเทศมีผู้ผลิตเครื่องบินของตนเอง แต่ขาดขนาดและทรัพยากรเพียงพอที่จะต่อกรกับยักษ์ใหญ่ในแวดวงการบินระดับโลกได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
-1-ภาพ Airbus A300B ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่องบินลำแรกที่มาจากความร่วมมือของประเทศในสหภาพยุโรป: ALG
ในช่วงทศวรรษ 1960 โลกของการบินพาณิชย์ถูกปกครองโดยผู้ผลิตจากสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก โดยเฉพาะ Boeing, McDonnell Douglas และ Lockheed ซึ่งมีทั้งทรัพยากร เทคโนโลยี และขนาดการผลิตที่เหนือกว่าประเทศใด ๆ ในยุโรปอย่างชัดเจน
ขณะนั้นยุโรปเองมีอุตสาหกรรมการบินที่แข็งแกร่งในแต่ละประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี สหราชอาณาจักร และอิตาลี แต่ปัญหาคือ แต่ละประเทศต่างทำงานแยกกัน ไม่มีการรวมพลังเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบินพาณิชย์ ทำให้ยุโรปเสียเปรียบในการเผชิญหน้ากับอุตสาหกรรมอากาศยานขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่สามารถผลิตเครื่องบินในปริมาณมาก ขายได้ทั่วโลก และมีต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำกว่า
ด้วยเหตุนี้ แนวคิดการรวมความร่วมมือระดับยุโรปจึงเริ่มก่อตัวขึ้น โดยเฉพาะจากฝรั่งเศสและเยอรมนีที่มองเห็นว่าหากต้องการสู้กับสหรัฐอเมริกาได้ ต้องเลิกแยกกันพัฒนา และหันมาร่วมมือกันสร้างเครื่องบินรุ่นใหม่ร่วมกัน
ดังนั้น เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1969 รัฐบาล ฝรั่งเศส และ เยอรมนีตะวันตก ได้ลงนามใน ข้อตกลงร่วมกันอย่างเป็นทางการ ในการร่วมมือพัฒนาเครื่องบินโดยสารลำใหม่ชื่อว่า A300B โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เครื่องบินรุ่นนี้สามารถแข่งขันกับ Boeing ในตลาดเครื่องบินแบบลำตัวกว้าง (wide-body) ขนาดกลาง ที่กำลังเติบโตในช่วงเวลานั้น (ปี 1969) เครื่องบินที่ กำลังได้รับความนิยม และถือเป็นแรงบันดาลใจให้ยุโรปร่วมมือกันสร้าง A300 ได้แก่ Boeing 707 (ครองตลาดระยะไกล), Boeing 737 (เริ่มเจาะตลาดระยะสั้นถึงกลาง) และโดยเฉพาะ Boeing 747 ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในปีเดียวกันและกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ความยิ่งใหญ่” ทางเทคโนโลยีการบินของสหรัฐฯ
A300B จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองช่องว่างในตลาด โดย A300B เป็นเครื่องบินลำตัวกว้างขนาดกลางที่ใช้เพียง 2 เครื่องยนต์ เพื่อ ประหยัดเชื้อเพลิง และ ลดต้นทุนการดำเนินงาน ซึ่งแตกต่างจาก 747 ที่มีขนาดใหญ่กว่าและต้นทุนสูงกว่า
ข้อตกลงครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการร่วมมือทางเทคนิค แต่ยังมีนัยทางการเมือง เศรษฐกิจ และยุทธศาสตร์ เพราะเป็นครั้งแรกที่ 2 ชาติเศรษฐกิจหลักของยุโรปจับมือกันอย่างจริงจังในโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ต่อมาในปี 1970 จากข้อตกลงดังกล่าว พัฒนามาเป็นการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ นั่นก็คือ Airbus Industrie GIE (Groupement d’Intérêt Economique) ซึ่งเป็นรูปแบบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างบริษัทจากหลายประเทศ โดยโครงสร้างนี้เปิดโอกาสให้แต่ละประเทศเข้ามาร่วมลงทุนและรับผิดชอบในแต่ละส่วนของการผลิตเครื่องบิน เช่น
- ฝรั่งเศสดูแลการประกอบลำตัวหลัก
- เยอรมนีผลิตปีก
- สหราชอาณาจักรผลิตส่วนควบคุมการบิน
- สเปนผลิตส่วนท้ายของลำตัว
แม้ว่า สหราชอาณาจักรจะถอนตัวจากโครงการร่วมของรัฐบาลในช่วงต้น แต่บริษัทของอังกฤษอย่าง Hawker Siddeley ยังคงมีบทบาทในการผลิตปีกเครื่องบิน A300 ซึ่งสะท้อนว่า ความร่วมมือทางเทคโนโลยียังดำเนินอยู่ แม้จะไม่มีการสนับสนุนทางการเมืองโดยตรง
การร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของโมเดล “การผลิตแบบกระจายทั่วทวีป” ที่ Airbus ยังคงใช้จนถึงปัจจุบัน โดยชิ้นส่วนจากหลายประเทศจะถูกส่งมาประกอบที่โรงงานหลักในเมืองตูลูส (Toulouse) ประเทศฝรั่งเศส
-2-โรงงานประกอบชิ้นส่วนอากาศยานของ Airbus ตั้งอยู่ที่เมือง ตูลูส ประเทศฝรั่งเศส: WSP
สิ่งที่น่าสนใจคือ Airbus ไม่ได้เติบโตจากบริษัทหนึ่งประเทศ แต่เป็นผลผลิตของ ความร่วมมือข้ามพรมแดนของยุโรป ที่มองเห็นประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว โมเดลความร่วมมือนี้ทำให้ Airbus มีความยืดหยุ่นสูง รับมือกับความเปลี่ยนแปลงในตลาดได้ดี และสามารถกระจายภาระและผลประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียม
Airbus ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1970 ในรูปแบบของกลุ่มความร่วมมือระหว่างบริษัทผู้ผลิตอากาศยานจากหลายประเทศในยุโรป การรวมตัวกันในครั้งนั้นไม่ใช่เพียงการผนึกกำลังของภาคเอกชน แต่เป็นสัญลักษณ์ของความพยายามร่วมกันในระดับภูมิภาคเพื่อแข่งขันกับยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาอย่าง Boeing และ McDonnell Douglas
สมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งประกอบด้วย Aerospatiale (ฝรั่งเศส), Deutsche Airbus (เยอรมนี), Hawker Siddeley (สหราชอาณาจักร) และต่อมา CASA (สเปน) ก็เข้าร่วมด้วย ความร่วมมือนี้ถือเป็นความพยายามที่ไม่ธรรมดาในเวลานั้น เพราะต้องอาศัยการประสานงานทั้งในด้านการออกแบบ การผลิต และการจัดการข้ามชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ใหม่มากสำหรับอุตสาหกรรมการบินในยุโรป
ผลิตภัณฑ์แรกของ Airbus คือ A300B1 ซึ่งเป็น เครื่องบินโดยสารลำตัวกว้างแบบสองเครื่องยนต์ลำแรกของโลก ทำการบินทดสอบเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 1972 A300 เป็นโครงการที่ถือได้ว่าท้าทายสิ่งที่เป็นอยู่ เนื่องจากในขณะนั้นเครื่องบินลำตัวกว้างส่วนใหญ่ยังคงใช้เครื่องยนต์ถึง 4 ตัว การออกแบบให้ใช้เพียงสองเครื่องยนต์จึงถูกตั้งคำถามเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยอย่างมาก
Airbus ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านในช่วงเริ่มต้น ทั้งความไม่มั่นใจของตลาดที่คุ้นชินกับผู้ผลิตจากสหรัฐฯ ปัญหาเรื่องเงินทุนและขีดความสามารถในการผลิต และการขาดความเชื่อมั่นในแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม Airbus ไม่ยอมแพ้ และสามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ได้ด้วย นวัตกรรมอันล้ำสมัยและกลยุทธ์ทางการตลาดที่เด็ดขาด เช่น การเสนอเงื่อนไขพิเศษให้กับสายการบินกลุ่มแรกที่ยอมสั่งซื้อเครื่องบิน A300
ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างเครื่องบินที่ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้าในแต่ละภูมิภาค Airbus จึงสามารถวางรากฐานให้กับตนเองในตลาดโลก และกลายเป็นผู้เล่นที่น่าจับตามองในอุตสาหกรรมการบิน
-3-วิวัฒนาการด้านการพัฒนาโลโก้ของ Airbus: ALG
ในช่วงปีทศวรรษ 1980-2000 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ Airbus เมื่อ Airbus เปิดตัวเครื่องบินรุ่นใหม่ Airbus A320 ซึ่งไม่เพียงแค่เป็นเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพในการบินและการใช้พลังงาน แต่ยังเป็น เครื่องบินพาณิชย์ลำแรกของโลกที่ใช้ระบบควบคุมการบินดิจิทัลแบบ Fly-by-Wire
A320 ทำการบินทดสอบครั้งแรกในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1987 และได้รับความนิยมจากสายการบินอย่างรวดเร็ว เพราะระบบ Fly-by-Wire ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการบิน ลดภาระของนักบิน และทำให้การบำรุงรักษาง่ายขึ้น ความสำเร็จของ A320 ทำให้ Airbus กลายเป็นคู่แข่งที่ท้าทายความเป็นผู้นำของ Boeing โดยเฉพาะในตลาดเครื่องบินลำตัวแคบที่เคยเป็นสนามแข่งหลักของ Boeing 737
พร้อมกันนั้น Airbus ยังได้ขยายสายผลิตภัณฑ์ของตนให้ครอบคลุมเครื่องบินลำตัวกว้าง โดยเปิดตัว A330 และ A340 ซึ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในตลาดเครื่องบินระยะไกล ความใส่ใจในรายละเอียดและความต้องการของลูกค้าในแต่ละภูมิภาคทำให้ Airbus ได้รับคำสั่งซื้อจากสายการบินทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง และเริ่มขยายอิทธิพลของตนในระดับนานาชาติอย่างชัดเจน
Fly-by-Wire คืออะไร?
“Fly-by-Wire” แปลตามตัวคือ “บินด้วยสายไฟ”
ซึ่งหมายถึงระบบควบคุมการบินที่ ใช้สัญญาณไฟฟ้าแทนสายเคเบิลหรือกลไกแบบแมนนวล ในการส่งคำสั่งจากนักบินไปยังอุปกรณ์ควบคุมต่าง ๆ ของเครื่องบิน เช่น หางเสือ แอร์ลอน หรือพื้นผิวควบคุมการบินอื่น ๆ
ก่อนหน้าที่จะมี FBW เครื่องบินจะใช้ สายเคเบิล รอก และระบบไฮดรอลิก ซึ่งนักบินจะต้อง ใช้แรงดึงหรือดัน คันบังคับเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของเครื่องบินโดยตรง
แต่ในระบบ Fly-by-Wire นักบินจะส่งคำสั่งผ่าน Joystick หรือ Side-stick ซึ่งจะถูกแปลงเป็น สัญญาณดิจิทัล แล้วส่งผ่าน สายไฟ ไปยังคอมพิวเตอร์กลางที่เรียกว่า Flight Control Computer (FCC) เพื่อวิเคราะห์และสั่งงานต่อไปยังระบบขับเคลื่อนผิวควบคุมการบิน
● การปรับโครงสร้างและรวมกิจการ
เข้าสู่ช่วงต้นศตวรรษที่ 21 Airbus ต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเติบโตที่รวดเร็วและความซับซ้อนในการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ ในปี 2000 มีการจัดตั้งบริษัทแม่ชื่อว่า European Aeronautic Defence and Space Company (EADS) ซึ่ง Airbus ได้ดำเนินกิจการอยู่ภายใต้บริษัทนี้
EADS ถือหุ้น 80% ของ Airbus ขณะที่ BAE Systems จากสหราชอาณาจักรถืออีก 20% การปรับโครงสร้างครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อรวมกระบวนการผลิตและการจัดการให้อยู่ภายใต้ระบบบริหารเดียวกัน ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก
ต่อมาในปี 2006 EADS ได้เข้าซื้อหุ้นของ BAE Systems ทั้งหมด ทำให้ Airbus กลายเป็นบริษัทย่อยที่ EADS เป็นเจ้าของทั้งหมด ความเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ Airbus สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้อย่างอิสระมากขึ้น ลดความขัดแย้งในการบริหาร และสามารถรวมระบบการผลิตจากหลายประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ยุคสมัยใหม่
ในปี 2014 EADS ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Airbus Group NV และในปีถัดมาเปลี่ยนเป็น Airbus Group SE ก่อนจะปรับมาใช้ชื่อที่คุ้นเคยกันในปัจจุบันคือ Airbus SE ในปี 2017 การรีแบรนด์นี้ไม่ใช่แค่เรื่องของชื่อแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังสะท้อนถึงการปรับโครงสร้างองค์กรให้คล่องตัวและมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักด้านอากาศยานพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ
Airbus ในปัจจุบันไม่ใช่เพียงผู้ผลิตเครื่องบินอีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบินของโลก ที่มีชื่อเสียงทั้งด้าน นวัตกรรม ความยั่งยืน และการออกแบบที่เน้นประสบการณ์ของผู้โดยสาร บริษัทมีผลิตภัณฑ์หลากหลายตั้งแต่ เครื่องบินพาณิชย์ เครื่องบินขนส่งทางทหาร จนถึงเฮลิคอปเตอร์
Airbus ยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า ระบบไฮโดรเจน และการบินอัตโนมัติ เพื่อเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและความคาดหวังของตลาดยุคใหม่
และแม้ว่า Airbus จะเปิดตัวเครื่องบิน A300 ซึ่งเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคนั้น แต่เส้นทางของบริษัทในช่วงแรกกลับเต็มไปด้วยความท้าทายอย่างไม่คาดคิด ความเป็นบริษัทหน้าใหม่ในอุตสาหกรรมที่ถูกครอบงำโดยยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา ทำให้ Airbus ต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อสร้างที่ยืนของตนในตลาดโลก
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญคือ ความไม่เชื่อมั่นของตลาด เครื่องบิน A300 ถูกออกแบบให้มีเพียง 2 เครื่องยนต์ ซึ่งในปัจจุบันอาจฟังดูเป็นเรื่องปกติ แต่ในช่วงทศวรรษ 1970 เครื่องบินพาณิชย์ขนาดกลางหรือขนาดใหญ่เกือบทั้งหมดยังคงใช้ 3 หรือ 4 เครื่องยนต์ เนื่องจากผู้คนเชื่อว่ายิ่งมีเครื่องยนต์มาก ยิ่งปลอดภัยมาก หากเครื่องยนต์หนึ่งขัดข้องก็ยังมีเครื่องอื่นสำรอง ด้วยเหตุนี้ สายการบินจำนวนมากจึงมองว่า A300 เป็น “ความเสี่ยง” มากกว่าเป็นโอกาส เพราะเทคโนโลยีที่ Airbus นำเสนอในเวลานั้น ยังใหม่เกินไปสำหรับความเชื่อมั่นของตลาด
นอกจากประเด็นทางเทคนิคแล้ว Airbus ยังต้องต่อสู้กับ ข้อจำกัดภายในองค์กรของตนเอง บริษัทเพิ่งก่อตั้งขึ้นในฐานะกลุ่มความร่วมมือข้ามชาติซึ่งยังไม่มีโครงสร้างการบริหารที่มั่นคง โรงงานผลิตและกระบวนการต่าง ๆ ยังต้องเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ Airbus ยังไม่มีประสบการณ์เชิงพาณิชย์และสายการผลิตขนาดใหญ่แบบเดียวกับที่คู่แข่งจากสหรัฐฯ อย่าง Boeing หรือ McDonnell Douglas มีอยู่แล้ว
เมื่อรวมกับข้อเท็จจริงที่ว่า Boeing และ McDonnell Douglas ครองตลาดมายาวนาน และมีฐานลูกค้าที่มั่นคงทั่วโลก การที่ Airbus จะเข้าไปเจรจากับสายการบินเพื่อให้หันมาใช้งานเครื่องบินของตัวเอง จึงเป็นเรื่องที่ยาก สายการบินต่างตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงต้องเสี่ยงกับผู้ผลิตที่ยังไม่เคยพิสูจน์ตนในตลาดมาก่อน โดยเฉพาะเมื่อเครื่องบินจากอเมริกายังคงทำงานได้ดีและเชื่อถือได้
อย่างไรก็ตาม Airbus ไม่ได้ยอมแพ้ต่อความลังเลของตลาด ตรงกันข้าม Airbus เลือกที่ใช้ กลยุทธ์การตลาดเชิงรุก โดยเน้นการนำเสนอคุณค่าของเทคโนโลยีใหม่อย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดแพ็กเกจข้อเสนอทางการเงินพิเศษ เช่น การผ่อนชำระแบบยืดหยุ่น หรือการรับประกันประสิทธิภาพของเครื่องบินในช่วงใช้งานระยะแรก เพื่อดึงดูดสายการบินที่กล้าเปิดรับของใหม่ให้กลายมาเป็นลูกค้ารายแรก
ตัวอย่างสำคัญคือสายการบิน Eastern Air Lines จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้กล้าที่ตัดสินใจทดลองใช้ A300 และภายหลังได้ทำการสั่งซื้อเพิ่มเติม การยอมรับจากสายการบินอเมริกันรายนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนทัศนคติของตลาด และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความเชื่อมั่นในระดับสากล
ความแตกต่างสำคัญระหว่าง Airbus กับ Boeing
Airbus และ Boeing ต่างก็เป็นสองผู้ผลิตเครื่องบินพาณิชย์รายใหญ่ของโลกที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการบินมานานหลายทศวรรษ ทั้งสองบริษัทต่างมีจุดแข็งและเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในด้านการออกแบบ เทคโนโลยี และกลยุทธ์ทางธุรกิจ
ในช่วงแรกของการแข่งขัน Boeing ยังคงยึดแนวทางการออกแบบที่ อนุรักษนิยม โดยเน้นพัฒนาเครื่องบินที่ต่อยอดจากรุ่นที่สายการบินใช้งานอยู่แล้ว เช่น Boeing 747 ซึ่งเป็นเครื่องบินลำตัวกว้างขนาดใหญ่ที่มี 4 เครื่องยนต์ และกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางระยะไกล ขณะเดียวกัน Boeing 737 ก็เข้ามาครองตลาดเครื่องบินลำตัวแคบที่ใช้สำหรับการบินระยะสั้น ซึ่งได้รับความนิยมจากสายการบินทั่วโลก
-4-เครื่องบิน Boeing 747 เป็นหนึ่งในเครื่องบินของ Boeing ที่ได้รับความนิยมสูง: Aircharterservice
ในทางกลับกัน Airbus เลือกแนวทางใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า หนึ่งในนวัตกรรมที่โดดเด่นที่สุดของ Airbus คือ ระบบควบคุม Fly-by-Wire (FBW) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้สัญญาณดิจิทัลในการควบคุมการบิน แทนที่การใช้สายเคเบิลและระบบไฮดรอลิกแบบดั้งเดิม นวัตกรรมนี้ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการบิน ลดภาระของนักบิน และทำให้การบำรุงรักษาง่ายขึ้น นอกจากนี้ Airbus ยังออกแบบห้องนักบินให้มีมาตรฐานเดียวกันสำหรับเครื่องบินหลายรุ่น ทำให้นักบินสามารถเปลี่ยนไปขับเครื่องบินรุ่นอื่น ๆ ของ Airbus ได้ง่ายขึ้นโดยใช้เวลาในการฝึกอบรมน้อยลง ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้สายการบินให้ความสนใจ
นอกจากแนวคิดด้านการออกแบบแล้ว Airbus และ Boeing ยังมีกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนอย่าง Boeing ยังคงผลิตเครื่องบินส่วนใหญ่ใน สหรัฐอเมริกา และควบคุมกระบวนการผลิตทั้งหมดภายในประเทศ ซึ่งทำให้บริษัทมีความเป็นอิสระในการจัดการคุณภาพและเทคโนโลยี แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
ในทางตรงกันข้าม Airbus ใช้โมเดลความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยให้แต่ละประเทศในยุโรปผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ จากนั้น ชิ้นส่วนเหล่านี้จะถูกนำมาประกอบที่โรงงานหลักของ Airbus ซึ่งโมเดลนี้ช่วยให้ Airbus สามารถ กระจายต้นทุนการผลิต ลดภาระด้านภาษี และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลยุโรป นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับ Boeing ที่ครองตลาดมานาน
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้ Airbus ได้เปรียบคือ แนวทางเชิงรุกในด้านการขาย โดย Airbus ไม่เพียงแค่พัฒนาเครื่องบินที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยเท่านั้น แต่ยัง นำเสนอเงื่อนไขทางการเงินที่ยืดหยุ่นให้กับสายการบิน ทำให้การสั่งซื้อเครื่องบิน Airbus เป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากขึ้น นอกจากนี้ Airbus ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบห้องโดยสารที่ สะดวกสบายขึ้น ซึ่งช่วยดึงดูดสายการบินที่ต้องการสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ดีให้กับผู้โดยสาร
แม้ว่าช่วงแรก Airbus จะเป็นเพียงผู้เล่นรายใหม่ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง แต่ในช่วงทศวรรษ 1980s และ 1990s Airbus ได้เริ่มสร้างชื่อเสียงและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 1987 เมื่อ Airbus เปิดตัว A320 ซึ่งเป็นเครื่องบินพาณิชย์ลำแรกที่ใช้ระบบควบคุม Fly-by-Wire (FBW) อย่างเต็มรูปแบบ การนำเทคโนโลยีใหม่นี้มาใช้ทำให้ A320 มีประสิทธิภาพในการบินสูงขึ้น ลดอัตราการบริโภคน้ำมัน และช่วยลดภาระของนักบิน ทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับสายการบิน
หลังจากเปิดตัว A320 ยอดขายของ Airbus เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดจาก Boeing ได้ทีละเล็กละน้อย แม้ว่า Boeing จะยังคงเป็นผู้นำตลาด แต่ Airbus เริ่มได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และสร้าง ความน่าเชื่อถือในอุตสาหกรรมการบิน ได้สำเร็จ
Airbus กับกลยุทธ์การทำตลาดที่แตกต่าง
ในอุตสาหกรรมการบินเชิงพาณิชย์ การออกแบบเครื่องบินที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรับประกันความสำเร็จได้ ผู้ผลิตเครื่องบินต้องมี กลยุทธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ Airbus เป็นหนึ่งในบริษัทที่เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี และได้นำกลยุทธ์การตลาดและการขายมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
Airbus ไม่เพียงแต่พัฒนาเครื่องบินที่มีนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ยืดหยุ่นเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของสายการบิน รวมถึงสามารถครอบคลุมตลาดทั้งสายการบินต้นทุนต่ำ (Low-cost carriers) และสายการบินบริการเต็มรูปแบบ (Full-service carriers) ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ Airbus ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับสายการบินและหน่วยงานด้านการบินทั่วโลก ทำให้บริษัทสามารถขยายตลาดและรักษาฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ Airbus ได้รับความนิยมจากสายการบินทั่วโลกคือ ความสามารถในการออกแบบเครื่องบินที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า ในตลาดการบินแต่ละสายการบินก็มีความต้องการที่แตกต่างกัน บางสายการบินต้องการเครื่องบินที่สามารถบินระยะไกลได้โดยประหยัดพลังงาน ขณะที่บางสายการบินต้องการเครื่องบินที่มีที่นั่งมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในขนาดลำตัวที่เหมาะสม Airbus จึงเลือกใช้ แนวทางการออกแบบเครื่องบินแบบโมดูลาร์ (Modular Design) ซึ่งช่วยให้สายการบินสามารถเลือกปรับแต่งเครื่องบินให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจของตนเอง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ตระกูลเครื่องบิน A320 และ A350 Airbus ออกแบบเครื่องบินเหล่านี้ให้สามารถรองรับที่นั่งได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การจัดวางที่นั่งในชั้นประหยัดแบบมาตรฐาน ไปจนถึงที่นั่งระดับพรีเมียมสำหรับชั้นธุรกิจและชั้นหนึ่ง สายการบินสามารถเลือกกำหนดรูปแบบห้องโดยสารที่เหมาะสมกับตลาดเป้าหมายของตนเอง ทำให้สามารถเพิ่มรายได้จากการขายตั๋วในแต่ละเที่ยวบินได้สูงสุด
นอกจากนี้ Airbus ยังพัฒนา รุ่นย่อยของเครื่องบินแต่ละตระกูล เพื่อตอบสนองความต้องการด้านระยะทางและความจุผู้โดยสารที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น A321XLR ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงของ A321neo สามารถบินได้ไกลขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดลำตัว ทำให้สายการบินสามารถขยายเส้นทางบินระยะไกลได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องบินขนาดใหญ่ที่มีต้นทุนสูง
การออกแบบที่ยืดหยุ่นเช่นนี้ช่วยให้ Airbus ได้รับความสนใจจากสายการบินทั่วโลก และทำให้เครื่องบินของบริษัทเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในสายตาของผู้ให้บริการ
● นำเสนอเครื่องบินที่ตอบโจทย์ทั้งตลาด Low-cost และ Full-service
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญของ Airbus คือ การพัฒนาเครื่องบินที่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งสายการบินต้นทุนต่ำ (Low-cost carriers) และสายการบินบริการเต็มรูปแบบ (Full-service carriers) ความสามารถในการเข้าถึงตลาดทั้งสองกลุ่มนี้ทำให้ Airbus สามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้นและแข่งขันกับ Boeing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับตลาดสายการบินต้นทุนต่ำ Airbus ออกแบบเครื่องบินที่ ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Airbus A320neo ซึ่งเป็นเครื่องบินลำตัวแคบที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่เผาไหม้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้สายการบินต้นทุนต่ำสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงซึ่งเป็นต้นทุนหลักของอุตสาหกรรมการบิน เครื่องบินรุ่นนี้ยังสามารถรองรับจำนวนที่นั่งได้มากขึ้นโดยไม่สูญเสียความสะดวกสบาย ทำให้เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมจากสายการบินต้นทุนต่ำทั่วโลก เช่น Ryanair, AirAsia และ IndiGo
ในขณะเดียวกัน Airbus ก็ไม่ละเลยตลาดสายการบินบริการเต็มรูปแบบ เครื่องบินรุ่น A350 XWB ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้โดยสารมีความสะดวกสบายมากขึ้น ด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวางขึ้น ความกดอากาศภายในที่ลดความเหนื่อยล้าของผู้โดยสาร และเทคโนโลยีลดเสียงรบกวน ทำให้ได้รับความนิยมจากสายการบินระดับพรีเมียม เช่น Singapore Airlines, Qatar Airways และ Emirates
การที่ Airbus สามารถสร้างเครื่องบินที่ตอบโจทย์ได้ทั้งตลาดต้นทุนต่ำและตลาดพรีเมียม ทำให้บริษัทสามารถครอบคลุมความต้องการของอุตสาหกรรมการบินได้ทุกระดับ ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและขยายฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
● สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับสายการบินและหน่วยงานการบินทั่วโลก
นอกจากการพัฒนาเครื่องบินที่มีคุณสมบัติที่โดดเด่นแล้ว Airbus ยังให้ความสำคัญกับ การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับสายการบินและหน่วยงานการบินทั่วโลก กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Airbus สามารถ รักษาลูกค้าเก่าและดึงดูดลูกค้าใหม่ ได้อย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในวิธีที่ Airbus ใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับสายการบินคือ การให้บริการด้านเทคนิคและการสนับสนุนหลังการขาย Airbus มี ศูนย์ฝึกอบรมนักบินและช่างเทคนิค ทั่วโลกเพื่อให้สายการบินสามารถฝึกอบรมบุคลากรได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ Airbus ยังให้การสนับสนุนด้านอะไหล่และการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สายการบินมั่นใจได้ว่าเครื่องบินของ Airbus สามารถให้บริการได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ Airbus ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับ หน่วยงานการบินพลเรือนและรัฐบาลในหลายประเทศ การสร้างความร่วมมือกับองค์กรเหล่านี้ช่วยให้ Airbus สามารถขยายฐานการผลิตและการขายไปยังตลาดใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น Airbus ได้สร้างโรงงานประกอบเครื่องบินใน จีนและสหรัฐอเมริกา ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงลูกค้าในภูมิภาคเหล่านี้ได้มากขึ้น
Airbus กับการพัฒนาเครื่องบินที่ตอบโจทย์อนาคตของอุตสาหกรรมการบิน
Airbus ให้ความสำคัญกับอนาคตของการบิน โดยมุ่งเน้นการ ลดต้นทุนให้สายการบิน ใช้ พลังงานสะอาด และผสาน เทคโนโลยี AI และ Big Data เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบินและบำรุงรักษาเครื่องบิน
หนึ่งในความท้าทายหลักของสายการบินคือ ต้นทุนการดำเนินงานที่สูง นั่นจึงทำให้ Airbus พัฒนาเครื่องบินที่ตอบโจทย์ในเรื่องนี้ อย่าง Airbus A350 และ A321XLR ซึ่งเน้นการประหยัดเชื้อเพลิงและลดค่าบำรุงรักษา
Airbus A350 เป็นเครื่องบินลำตัวกว้างที่เหมาะกับเส้นทางบินระยะไกล โดดเด่นด้วยโครงสร้างที่ใช้วัสดุ Composite และเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูง ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงได้ถึง 25% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน นอกจากนี้ ยังมีห้องโดยสารที่เงียบ นั่งสบาย และได้รับความนิยมในหมู่สายการบินพรีเมียมทั่วโลก
-5-Airbus A350 มีจุดเด่นที่การนำเสนอความสะดวกสบายและสามารถบินได้ในระยะทางที่ไกล: Airbus
Airbus A321XLR คือเครื่องบินลำตัวแคบที่สามารถบินข้ามทวีปได้ ด้วยระยะทางไกลถึง 8,700 กิโลเมตร เหมาะสำหรับสายการบินที่ต้องการขยายเส้นทางระยะไกลโดยไม่ต้องใช้เครื่องบินขนาดใหญ่ ทำให้ประหยัดต้นทุนและบริหารฝูงบินได้ยืดหยุ่นมากขึ้น
-6-Airbus A321 XLR ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ Low-Cost Airline ที่ต้องการขยายเส้นทางการบินโดยไม่ต้องใช้เครื่องใหญ่: Airbus
ในด้านสิ่งแวดล้อม Airbus ได้เปิดตัวโครงการ ZEROe ซึ่งเป็นแผนพัฒนาเครื่องบินที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน โดยตั้งเป้าเปิดตัวภายในปี 2035 เพื่อมุ่งสู่การบินที่ “ปลอดคาร์บอน” อย่างแท้จริง มีการออกแบบไว้ 3 รูปแบบ ได้แก่ เครื่องบินลำตัวแคบ, เครื่องบิน Turboprop ระยะสั้น และแบบไฮบริด
นอกจากนี้ Airbus ยังพัฒนาแพลตฟอร์ม Skywise ที่ใช้ Big Data วิเคราะห์ข้อมูลจากเซนเซอร์บนเครื่องบิน เพื่อคาดการณ์และซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน ช่วยลดเวลาจอดซ่อมและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเครื่องบิน พร้อมทั้งนำ AI มาช่วยในระบบควบคุมการบินอัตโนมัติ ซึ่งอาจนำไปสู่อากาศยานไร้คนขับในอนาคต
เหตุผลที่สายการบินทั่วโลกเลือก Airbus มากขึ้น
ในเรื่องของเครื่องบินซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่สายการบินเลือก Airbus คือ ความสามารถในการประหยัดพลังงานและลดต้นทุนการดำเนินงาน เครื่องบินรุ่นใหม่ของ Airbus อย่าง A320neo และ A350 XWB ได้รับการออกแบบให้มีประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงสูงขึ้น ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยให้สายการบินลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้มากถึง 15-25% เมื่อเทียบกับเครื่องบินรุ่นก่อนหน้า นี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Airbus กลายเป็นตัวเลือกที่สายการบินให้ความสนใจ
อีกหนึ่งข้อได้เปรียบของ Airbus คือ ความยืดหยุ่นของผลิตภัณฑ์ที่สามารถรองรับได้ทั้งสายการบินต้นทุนต่ำและสายการบินพรีเมียม Airbus ได้พัฒนาเครื่องบินที่สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับแต่ละสายการบินได้ ตัวอย่างเช่น A321XLR ที่สามารถบินระยะไกลได้โดยยังคงเป็นเครื่องบินลำตัวแคบ ซึ่งช่วยให้สายการบินสามารถเพิ่มเส้นทางบินระยะไกลโดยไม่ต้องใช้เครื่องบินลำตัวกว้างที่มีต้นทุนสูง ในขณะเดียวกัน Airbus ก็มีเครื่องบินลำตัวกว้างอย่าง A350 XWB และ A380 ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับสายการบินที่ต้องการมอบประสบการณ์ระดับพรีเมียมให้กับผู้โดยสาร
นอกจากนี้ Airbus ยังได้รับความนิยมจากสายการบินเนื่องจากมาตรฐานการออกแบบห้องนักบินที่เหมือนกันในหลาย ๆ รุ่น ทำให้นักบินสามารถบินเครื่องบินของ Airbus ได้หลายรุ่นโดยใช้เวลาในการฝึกอบรมน้อยลง ซึ่งช่วยให้สายการบินลดต้นทุนด้านการฝึกอบรมและเพิ่มความสะดวกในการบริหารนักบินของตนเอง
นอกจากนี้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการเครื่องบินที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก Airbus ไม่ได้จำกัดการผลิตเครื่องบินไว้ที่ยุโรปเพียงอย่างเดียว แต่ได้ขยายการลงทุนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิตให้ทันกับความต้องการของตลาด
Airbus ได้สร้างโรงงานผลิตเครื่องบินใน หลายประเทศที่เป็นตลาดสำคัญ หนึ่งในโรงงานที่สำคัญคือ โรงงานประกอบ A320 และ A220 ที่เมือง Mobile รัฐ Alabama ประเทศสหรัฐอเมริกา โรงงานนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้สามารถผลิตและส่งมอบเครื่องบินให้กับสายการบินในอเมริกาเหนือได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Airbus ยังมีโรงงานประกอบเครื่องบิน ในเมืองเทียนจิน ประเทศจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก
นอกจากการลงทุนในโรงงานผลิตแล้ว Airbus ยังมุ่งเน้นไปที่ การสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและสนับสนุนหลังการขาย เพื่อให้สายการบินสามารถบำรุงรักษาเครื่องบินได้อย่างมีประสิทธิภาพ Airbus มี ศูนย์ซ่อมบำรุง ( Maintenance, Repair, and Overhaul: MRO) อยู่ทั่วโลก เพื่อช่วยให้สายการบินที่ใช้เครื่องบินของ Airbus สามารถซ่อมบำรุงและเปลี่ยนอะไหล่ได้อย่างรวดเร็ว การลงทุนในศูนย์ซ่อมบำรุงช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และทำให้ Airbus ได้รับความไว้วางใจจากสายการบินมากขึ้น
นอกจากการสร้างโรงงานผลิตและศูนย์ซ่อมบำรุงแล้ว Airbus ยังใช้ กลยุทธ์ความร่วมมือกับรัฐบาลและบริษัทท้องถิ่นในแต่ละประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและการผลิต
Airbus ได้ทำข้อตกลงและร่วมมือกับรัฐบาลของหลายประเทศเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมการบิน ตัวอย่างเช่น Airbus ได้สร้าง ความร่วมมือกับรัฐบาลจีน เพื่อพัฒนาโครงการผลิตเครื่องบินและการฝึกอบรมนักบิน รวมถึงมีการตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินในประเทศจีนเพื่อลดต้นทุนการนำเข้า
ในยุโรป Airbus ได้ร่วมมือกับองค์กรด้านอวกาศ เช่น ESA (European Space Agency) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยสำหรับอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ นอกจากนี้ Airbus ยังทำงานร่วมกับองค์กรการบินของอเมริกา เช่น NASA เพื่อศึกษานวัตกรรมด้านพลังงานสะอาดสำหรับเครื่องบินพาณิชย์ในอนาคต
อีกหนึ่งความร่วมมือที่สำคัญของ Airbus คือ การทำงานร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Google, IBM และ Microsoft เพื่อพัฒนา AI และ Big Data สำหรับการบริหารจัดการฝูงบินและการวิเคราะห์ข้อมูลการบิน เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้สายการบินสามารถคาดการณ์ปัญหาล่วงหน้า ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
Airbus ยังมีโครงการความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก เพื่อวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น เครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนและระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต
การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบินพาณิชย์ของ Airbus ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 1970 Airbus ได้เผชิญกับความท้าทายมากมายในการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่าง Boeing แต่ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ทำให้ Airbus ค่อยๆ ขยับจากผู้ท้าชิงไปสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีอิทธิพลสูงสุดในอุตสาหกรรมการบิน
แม้ว่า Airbus และ Boeing จะยังคงแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Airbus ได้พิสูจน์แล้วว่าตัวเองสามารถ แซงหน้าคู่แข่งในบางช่วงเวลาได้ โดยเฉพาะในด้านยอดขายและคำสั่งซื้อเครื่องบินใหม่ ปัญหาของ Boeing 737 MAX ยิ่งส่งเสริมให้ Airbus ได้รับความเชื่อมั่นจากสายการบินทั่วโลกมากขึ้น
สุดท้ายแล้ว คำถามที่ว่า Airbus หรือ Boeing ใครเป็นผู้นำตัวจริงในอุตสาหกรรมการบิน อาจไม่มีคำตอบที่แน่ชัด เพราะทั้งสองบริษัทต่างมีจุดแข็งและกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากแนวโน้มในปัจจุบัน Airbus ได้พิสูจน์แล้วว่าตัวเองสามารถเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งของ Boeing และอาจก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดได้ในระยะยาว
เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ
อ้างอิง
https://americancompass.org/airbuss-industrial-flight-plan/
https://www.airbus.com/en/innovation/future-aircraft/future-materials
https://theconversation.com/airbus-again-becomes-the-worlds-leading-aircraft-manufacturer-129595
https://aim2flourish.com/innovations/airbus-innovations
องค์กรสะท้านโลก EP.1 : NVIDIA บริษัทกราฟิกการ์ดเบอร์ 1 ของโลกทำธุรกิจอย่างไรให้มูลค่าโตล้านล้านดอลลาร์
องค์กรสะท้านโลก EP.2 : SoftBank ชื่อเหมือนแบงก์ แต่ไม่ใช่แบงก์ เริ่มจากทำนิตยสารคอมพิวเตอร์ แต่กลายเป็นเจ้าอาณาจักรเทคโนโลยี
องค์กรสะท้านโลก EP.3 : Airbus จากผู้ท้าชิงไร้ชื่อ สู่ผู้นำอุตสาหกรรมการบินโลก
–
