Trends / ขณะที่รัฐบาลประเทศต่างๆ กำลังหาทางรับมือกับการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เพื่อปกป้องเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชากร เหล่าแบรนด์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็เตรียมขยับเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีแบรนด์แฟชั่นกับสินค้าหรูรวมอยู่ด้วย

เรื่องนี้มีหลายประเด็นน่าสนใจ ไล่ตั้งแต่ความซับซ้อนของซัปพลายเชนวงการแฟชั่น และผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรม ไปจนถึงแนวทางแก้ไขเพื่อสกัดวิกฤตในตลาดสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งอาจมาในรูปการลงทุนครั้งใหญ่ และเทรนด์แฟชั่นที่จะตามมาจากนี้
จีน บังกลาเทศ เวียดนาม และปากีสถาน คือกลุ่มประเทศที่จะเจอกำแพงภาษีนำเข้าสูงสุด เมื่อส่งสินค้าเข้าไปในสหรัฐฯ โดยจีนหนักสุด เจอภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงถึง 125%

วงการแฟชั่นและสินค้าหรูกำลังหาทางรับมือกับสถานการณ์นี้ เช่นเดียวกับรัฐบาลแต่ละประเทศ เพราะจีนคือฐานการผลิตใหญ่ของแบรนด์หรูกับยักษ์แฟชั่นค้าปลีกอย่าง Prada และ H&M
ส่วนบังกลาเทศก็ส่งออกเสื้อผ้า 80% ที่ผลิตได้ จนได้ชื่อว่าโรงงานเสื้อผ้าโลกไปแล้ว
ด้านเวียดนามกับปากีสถานก็เต็มไปด้วยโรงงานรับจ้างผลิตของ Nike กับสปอร์ตแบรนด์คู่แข่ง และเสื้อกับกางเกงยีนส์ที่ส่งออกไปหลายประเทศ โดยมีสหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่
ส่วนประเทศอื่น ๆ เช่น เกาหลีใต้ ตุรกี และกลุ่มสหภาพยุโรป ก็อยู่ในซัปพลายเชนของอุตสาหกรรมแฟชั่นและสินค้าแบรนด์หรูด้วย ก็จะเจอกำแพงภาษีสหรัฐฯ เช่นกัน
ดังนั้น จึงหมายความว่า ทั้งอุตสาหกรรมแฟชั่นและสินค้าแบรนด์หรู จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ทั้งสิ้น
ผู้บริหารของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนในอุตสาหกรรมแแฟชั่นกล่าวว่า เสื้อผ้าของแบรนด์แฟชั่นไม่ได้ผลิตจากประเทศเดียวแบบเบ็ดเสร็จ โดยผ้าอาจมาจากอิตาลี ชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่เหลืออาจมาจากจีนและเกาหลีใต้ แต่ทั้งหมดนำมาประกอบกันเสร็จเป็นชุดที่โรงงานในตุรกี
เมื่อความซับซ้อนของซัปพลายเชนแฟชั่น มาเจอเข้ากับกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่ขู่จะบังคับใช้กับทุกประเทศ อาจฉุดให้อุตสาหกรรมทรุดหรือถดถอยครั้งใหญ่ โดยผลกระทบที่เกิดอาจหนักสุดในรอบ 50 ปี และคงหนักกว่า เบร็กซิต หรือวิกฤตโควิดก็เป็นได้
สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความกังวลให้นักลงทุนต่อการทำธุรกิจของแบรนด์แฟชั่นจนหุ้นของ Kerring, Burberry และ LVMH ตกไปตาม ๆ กัน
ขณะที่หุ้นของสปอร์ตแบรนด์ อย่าง Nike, Adidas, Puma และ Lulumon ที่มีสินค้าแฟชั่นออกมาด้วย และต้องพึ่งพาซัปพลายเชนหลายประเทศ เช่น ในเอเชียและยุโรป ก็ร่วงเช่นกัน
ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นจากนี้ มีแนวโน้มว่า แบรนด์แฟชั่นและสินค้าหรูอาจพากันลงทุนสร้างโรงงานในสหรัฐฯ หรืออย่างน้อยก็ต้องพยายามสานสัมพันธ์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดนี้

เช่น ที่ เบอร์นาร์ด อาโนลด์ ผู้บริหารเครือแบรนด์แฟชั่นและสินค้าหรู LVMH ร่วมอยู่ในพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ของ โดนัลด์ อันเป็นการชี้ว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ที่อาจจะมาจากการไปลงทุนในสหรัฐฯ หรือให้เงินสนับสนุนโครงการรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อรับประกันว่าจะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากนโยบายของรัฐบาล
อีกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นจากนี้ คือ ตลาดสินค้าแฟชั่นมือ 2 ของปลอม หรือทำเลียนแบบ อาจโตโดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ในสหรัฐฯ
เพราะรายได้ยังไม่มากที่จะซื้อของแท้จากแบรนด์แฟชั่น ที่ราคาจะแพงขึ้น และไม่อายที่จะใส่ของทำเลียน ตราบใดที่ราคาจับต้องได้ และแพตเทิร์นถูกใจ/theguardian
–
