แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างสูงบานใหญ่ สาดส่องไปบนโต๊ะไม้เรียงรายในห้องเรียนที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กนักเรียนฝึกคัดอักษรคันจิ แต่ตอนนี้ ห้องเรียนแห่งนี้ไม่ได้ดึงดูดเด็กๆ อีกต่อไป หากแต่กำลังเชื้อเชิญนักเดินทางที่มองหาการผ่อนคลายอย่างล้ำลึก และสัมผัสประสบการณ์ชนบทญี่ปุ่นที่ไม่เหมือนใคร
นี่คือ “Hare to Ke” (ฮาเระ โตะ เค) เกสต์เฮาส์ที่ดัดแปลงมาจากโรงเรียนประถมเก่าแก่ ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาของเมืองมิโยชิ บนเกาะชิโกกุ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่เกาะหลักที่เล็กที่สุดของญี่ปุ่น

Hare to Ke ตั้งอยู่ในอาคารโรงเรียนประถมเก่าชื่อ Deai Elementary School ซึ่งปิดตัวลงในปี 2005 หลังจำนวนนักเรียนลดลงเหลือเพียง 5 คนเท่านั้น โดยย้อนกลับไปในปี 1945 ช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด โรงเรียนแห่งนี้เคยมีนักเรียนมากถึง 500 คน แต่เช่นเดียวกับโรงเรียนชนบทหลายแห่งทั่วญี่ปุ่น จำนวนนักเรียนค่อยๆ ลดลงเมื่อครอบครัวย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากถูกทิ้งร้างมานาน 8 ปี โรงเรียนแห่งนี้ก็ถูกปลดระวางอย่างเป็นทางการในปี 2013 ปัจจุบัน ประชากรของเมืองมิโยชิลดลงจากจุดสูงสุดที่เกือบ 78,000 คนในปี 1955 เหลือเพียงประมาณ 20,000 คน โดยกว่า 40% มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
การลดลงของอุตสาหกรรมท้องถิ่นและการย้ายถิ่นของคนหนุ่มสาว ทำให้เมืองแห่งนี้มีประชากรสูงวัยและโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกทิ้งร้าง จนกระทั่งในปี 2012 เมืองมิโยชิมีโรงเรียนที่ไม่ได้ใช้งานถึง 28 แห่ง ทำให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเริ่มมองหาแนวทางในการนำอาคารเหล่านี้กลับมาใช้ประโยชน์ใหม่
ชูโกะ อุเอโมโตะ ดีไซเนอร์จากโตเกียว มีความคิดที่แตกต่างออกไป โดยเธอเดินทางมายังมิโยชิครั้งแรกในปี 2014 พร้อมกับลูกชายวัยสองขวบ และประทับใจในความงดงามอันเงียบสงบของที่นี่ น้ำและอากาศดี และตอนที่พักครั้งแรก อาการหอบหืดของลูกชายเธอก็หายไปเลย
หลังจากนั้นเมื่อเห็นประกาศของเมืองมิโยชิที่เชิญชวนเสนอแผนฟื้นฟู เธอจึงกลับมาสำรวจศูนย์การศึกษาที่ว่างเปล่าอีกหลายแห่ง และทันทีที่ก้าวเข้าไปในลานเงียบสงบของโรงเรียนประถม Deai เธอก็รู้ทันทีว่าได้พบสถานที่พิเศษแล้ว
ยูโกะ โอคา เจ้าหน้าที่จากแผนกฟื้นฟูภูมิภาคของเมืองมิโยชิกล่าวว่า โรงเรียนแห่งนี้เคยเป็นสัญลักษณ์ของท้องถิ่น แต่กลับจมอยู่ในความมืดมิด ปิดตัวลงจากชุมชน ตอนนี้ แสงไฟกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง และผู้คนก็กลับมามีความรู้สึกผูกพันทางใจ การที่คนนอกถูกดึงดูดให้มาที่นี่และพบว่ามันน่าสนใจ ได้ช่วยให้คนท้องถิ่นกลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง ซึ่งฉันคิดว่านี่คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ปัจจุบัน โรงเรียนที่ถูกทิ้งร้างในเมืองมิโยชิ 13 แห่งได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นคาเฟ่ชุมชน, สำนักงานย่อย และเกสต์เฮาส์ เช่น Hare to Ke ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของการนำโรงเรียนที่ถูกทิ้งร้างมาเติมชีวิตชีวาให้กับชุมชนที่กำลังร่วงโรยในญี่ปุ่น
แต่สิ่งนี้จะเพียงพอที่จะพลิกวิกฤตอันเงียบงันที่กำลังเกิดขึ้นทั่วชนบทของญี่ปุ่นได้หรือไม่? ในขณะที่ญี่ปุ่นยังคงต้องรับมือกับประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอัตราการเกิดที่ต่ำที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้ประเทศนี้สูญเสียประชากรเกือบ 900,000 คนในแต่ละปี
มีการประเมินกันว่า ในอนาคตเทศบาลกว่า 40% ของญี่ปุ่นอาจถูกยุบ เนื่องจากคนรุ่นใหม่จำนวนมากย้ายจากชนบทเข้าสู่เมือง ทำให้โรงเรียนประมาณ 450 แห่งต้องปิดตัวลงในแต่ละปี
ขณะที่ตามข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของญี่ปุ่น (MEXT) ระบุว่าด้วยเหตุนี้ อาคารที่เคยว่างเปล่าจำนวนมากจึงกำลังถูกปรับโฉมใหม่เพื่อฟื้นฟูภูมิภาคที่ประชากรลดลงของญี่ปุ่น

ที่ Hare to Ke แขกไม่ได้เพียงแค่พักอยู่ในห้องเรียนที่ถูกดัดแปลงเท่านั้น แต่ยังได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติและตัวตนของพวกเขาอีกครั้งผ่านการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ชื่อของโรงแรมสื่อถึงแนวคิดดั้งเดิมของญี่ปุ่นเกี่ยวกับเวลา
สำหรับ “hare” (ฮาเระ) หมายถึงการเฉลิมฉลองหรือเทศกาลพิเศษ และ “ke” (เค) หมายถึงชีวิตประจำวันทั่วไป ในอดีต ทั้งสองสิ่งนี้ดำรงอยู่อย่างสมดุล แต่หลังจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หลายคนเชื่อว่าความแตกต่างนี้ได้จางหายไป
เมื่อชีวิตประจำวันถูกครอบงำด้วยสิ่งกระตุ้นและความอุดมสมบูรณ์ที่คล้ายกับ “hare” มากเกินไป Hare to Ke เชื้อเชิญแขกให้กลับมาค้นพบจังหวะโบราณนั้นอีกครั้งผ่านความเรียบง่ายและความสงบนิ่ง ด้วยการโอบรับความเชื่องช้าและการรับรู้ทางประสาทสัมผัส มันส่งเสริมให้แขกกลับสู่ความลึกซึ้งของ “ke”
ผู้มาเยือนจะได้รับการต้อนรับด้วยกลิ่นหอมของกาแฟคั่วสดใหม่ พวกเขาสามารถจิบชาสมุนไพร งีบหลับท่ามกลางเสียงใบไม้ไหว และตื่นขึ้นมาสู่อากาศบริสุทธิ์ของภูเขา ชิลล์ โคอุริ แขกคนหนึ่งที่บังเอิญพบ Hare to Ke ระหว่างเดินทางโดยรถยนต์ในชิโกกุกับเพื่อน ได้สะท้อนความรู้สึกของการฟื้นฟูที่ไม่คาดคิดนี้
โรงแรมได้เปิดตัวโปรแกรมพิเศษที่เน้นการปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับให้ลึกยิ่งขึ้น แขกจะถูกสอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่มักรบกวนการนอนหลับ และจากคำตอบ พวกเขาจะได้รับชาสมุนไพรบำบัดที่ผสมเป็นพิเศษ ประสบการณ์นี้ผสมผสานการบำบัดด้วยกลิ่นหอม เสียงอันผ่อนคลาย และกลิ่นหอม – กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งห้าเพื่อนำพาผู้มาเยือนเข้าสู่การพักผ่อนในอุดมคติ
แนวคิดนี้เกิดขึ้นหลังจากอุเอโมโตะย้ายมาที่มิโยชิและตระหนักว่าเธอนอนหลับได้ลึกแค่ไหน โดยเธอไม่ได้คาดหวังว่าจะรู้สึกถึงความแตกต่างขนาดนี้ แต่อากาศและความเงียบสงบช่วยให้ฉันพักผ่อนได้ลึกกว่าที่เคยเป็นมาหลายปี และด้วยการตระหนักว่าผู้คนในเมืองหลายคนไม่ค่อยได้สัมผัสกับความเงียบสงบที่แท้จริงหรือความมืดตามธรรมชาติ อุเอโมโตะจึงเห็นโอกาสในการสร้างข้อเสนอ “Sleep Trip” นี้
กว่า 400 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านในภูมิภาคนิชิ-อาวะโดยรอบได้เพาะปลูกพืชไร่บนพื้นที่ลาดชันถึง 40 องศา ไม่เพียงแต่รักษาแนวปฏิบัติทางการเกษตรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภูมิทัศน์และวัฒนธรรมของชุมชนบนภูเขาเหล่านี้ด้วย แขกที่เลือกโปรแกรม Sleep Trip จะได้รับประทานอาหารค่ำที่มีธัญพืชที่เก็บเกี่ยวจากพื้นที่ที่ท้าทายนี้ พร้อมด้วยผักตามฤดูกาลและเนื้อสัตว์ป่าที่หาได้ในท้องถิ่น
การออกแบบของ Hare to Ke ยังคงรักษาความอบอุ่นและเสน่ห์ของอดีตของโรงเรียนไว้ ทางเดินกลางแจ้งที่นำไปสู่ทางเข้ายังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังพิธีจบการศึกษาที่วาดโดยอดีตนักเรียน ห้องเรียนยังคงมีสิ่งที่ชวนให้นึกถึงอดีต เช่น แผ่นทดสอบสายตา ขวดแก้ว และกระดานดำ ภายนอก ชาวบ้านที่เคยมาโรงเรียนแห่งนี้ตั้งแต่เด็กๆ ตอนนี้มารวมตัวกันที่สนามกีฬาเก่าเพื่อเล่นเกตบอล ขณะที่แขกก็เฝ้าดู
หนึ่งในไฮไลต์ของอาคารโรงเรียนเก่าคือ ซาวน่า ซึ่งกลายเป็นจุดหมายปลายทางในตัวเอง โดย มาริ อาซูมิ แขกคนหนึ่งกล่าวว่า “ห้องซาวน่าบุด้วยไม้ซีดาร์ที่ให้ความอบอุ่น และทิวทัศน์ภูเขาอันเงียบสงบก็ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า หลังจากความร้อน คุณจะดำดิ่งลงไปในอ่างอาบน้ำเย็นที่เต็มไปด้วยน้ำพุจากภูเขา ซึ่งใสสะอาดและสดชื่น”
โคจิ คามิซาซา จากสำนักงานการท่องเที่ยวเมืองมิโยชิกล่าวว่า Hare to Ke เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่กว้างขึ้น – เรื่องราวที่ชนบทญี่ปุ่นกำลังทวงคืนอนาคต ไม่ใช่ผ่านการท่องเที่ยวที่ฉูดฉาด แต่ด้วยการสร้างประสบการณ์ที่ใกล้ชิด เข้าถึงแก่นแท้ และเป็นท้องถิ่นอย่างแท้จริง
ตัวอย่างเช่น โรงแรมมีเวิร์กช็อปทำอาหารตามฤดูกาลที่ชาวบ้านจะสอนแขกให้เตรียมอาหารด้วยวัตถุดิบที่ปลูกในท้องถิ่น นอกจากนี้ ทุกวันอาทิตย์ที่สองของเดือน เมืองมิโยชิจะจัด ตลาดกลางคืน ที่ชาวบ้านไม่เพียงแต่ขายอาหารเท่านั้น แต่ยังสอนผู้มาเยือนเกี่ยวกับ Awa Odori ซึ่งเป็นการเต้นรำพื้นเมืองอันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดโทกุชิมะอีกด้วย
ในขณะที่เมืองมิโยชิยังคงต้องรับมือกับการลดลงของประชากร งานอีเวนต์เช่นนี้ที่นักเดินทางสามารถเข้าร่วมได้ ไม่เพียงช่วยรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังแนะนำผู้มาเยือนให้รู้จักกับประเพณีที่ยั่งยืนของภูมิภาคนี้อีกด้วย
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงอย่าง หุบเขาอิยะ และ สะพานไม้เลื้อยคาซูระ อันเป็นเอกลักษณ์ ก็ดึงดูดคนรักธรรมชาติจำนวนมาก นักเดินทางหลายคนมักจะรวมไฮไลต์เหล่านี้กับการพักหนึ่งคืนที่ Hare to Ke ทำให้ที่นี่เป็นฐานสำหรับการใคร่ครวญและการผจญภัย
สำหรับหลายคนในชุมชน Hare to Ke เป็นมากกว่าเกสต์เฮาส์ – มันเป็นพื้นที่ที่ความทรงจำเก่าๆ กลับมามีชีวิตชีวา และความทรงจำใหม่ๆ ถูกสร้างขึ้น โดยวันหนึ่ง หญิงชราวัย 80 ปีคนหนึ่งมากับหลานสาวของเธอ และเมื่อเธอเปิดอัลบั้มจบการศึกษาเก่าๆ และชี้ไปที่รูปตัวเองในวัยสาวพร้อมกล่าวอย่างมีความสุขว่า ‘นั่นฉันเอง!’
“แม้แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนคนเก่าก็กลับมาเยี่ยมเยียน โรงเรียนแห่งนี้ไม่ใช่แค่ตึกอาคาร มันเก็บเรื่องราวของผู้คนไว้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการนำมันกลับมาใช้ใหม่จึงไม่ใช่ความรับผิดชอบที่เบาบาง แต่ฉันดีใจที่เราได้สร้างสถานที่ที่พวกเขาสามารถกลับมาได้” อุเอโมโตะ กล่าวทิ้งท้าย / bbc
