หลังการเปิดตัวของ Sushiro ในประเทศไทยเมื่อปี 2021 ซูชิสายพานได้กลายเป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นความสำเร็จนี้ ซูชิสายพานเจ้าอื่นๆ จากญี่ปุ่นก็เริ่มเข้ามาแข่งขันในตลาดไทย ทำให้วันนี้ซูชิสายพานเป็นที่รู้จักและได้รับความชื่นชอบจากคนไทยอย่างกว้างขวาง

แต่เคยสงสัยไหมว่าซูชิสายพานเริ่มต้นมาจากไหน และใครคือผู้เล่นหลักในตลาดญี่ปุ่น

วันนี้ Marketeer จะพาไปดูจุดเริ่มต้นของซูชิสายพาน รวมทั้งความแตกต่างของยักษ์ใหญ่ 5 เจ้าที่กำลังแข่งกันอยู่ในบ้านเกิดของซูชิสายพาน

.

จุดกำเนิดของซูชิสายพาน

ซูชิสายพานที่เราคุ้นเคยกันดีถือกำเนิดขึ้นในปี 1948 หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองเพิ่งจบลงไปได้ไม่นาน

Yoshiaki Shiraishi อดีตทหารผ่านศึกจากสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการไปเยี่ยมชมโรงเบียร์ Asahi

เมื่อเขาเห็นระบบสายพานลำเลียงในโรงเบียร์ ก็เกิดไอเดียว่าทำไมไม่เอาแนวคิดนี้มาใช้กับการเสิร์ฟซูชิล่ะ

หลังจากผ่านกระบวนการทดลองและพัฒนามาหลายปี ร้านซูชิสายพานแห่งแรกของโลกจึงเปิดขึ้นในปี 1958 ที่เมือง Higashi-Osaka

โดยจุดขายหลักที่ทำให้ร้านประสบความสำเร็จคือราคาที่ย่อมเยา และการตั้งราคาที่ชัดเจน ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเดาว่าซูชิแต่ละคำราคาเท่าไร

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในวันนั้น วันนี้ตลาดซูชิสายพานของญี่ปุ่นได้เติบโตเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ถูกควบคุมโดยผู้เล่นหลักห้าราย ได้แก่

Sushiro, Kura Sushi, Hama Sushi, Genki Sushi และ Kappa Sushi

ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็มีเอกลักษณ์ กลยุทธ์ และจุดเด่นที่แตกต่างกันไปอย่างชัดเจน มาดูกันว่าแต่ละเจ้ามีเอกลักษณ์อะไรบ้าง

.

Sushiro ราชาแห่งซูชิสายพาน

Sushiro ถือเป็นเครือซูชิสายพานที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยจำนวนร้านราว 650 สาขาทั่วประเทศ

ความสำเร็จของ Sushiro ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในประเทศเท่านั้น พวกเขาเริ่มขยายตลาดไปยังต่างประเทศตั้งแต่ปี 2011 และ ณ สิ้นปี 2024 มีสาขาในต่างประเทศแล้วกว่า 180 สาขา

กลยุทธ์หลักที่ทำให้ Sushiro ประสบความสำเร็จคือการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาเมนูใหม่ และการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งครอบครัว คู่รัก และกลุ่มเพื่อน

จุดที่น่าสนใจคือ Sushiro ใช้เครื่องปั้นซูชิอัตโนมัติที่ทันสมัย บางเครื่องมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 2.5 ล้านเยน เพื่อรับประกันมาตรฐานที่สม่ำเสมอและความรวดเร็วในการให้บริการที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน

.

Kura Sushi ผู้สร้างนวัตกรรม

Kura Sushi เป็นแบรนด์ที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรมตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือการพัฒนาระบบโต๊ะนั่งสำหรับร้านซูชิสายพาน ซึ่งต่างจากร้านอื่นที่ใช้เคาน์เตอร์ การออกแบบนี้ช่วยให้ครอบครัวมีความรู้สึกสบายและมีพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น

จุดขายสำคัญของ Kura Sushi คือการขาย “ซูชิไร้สารปรุงแต่ง” ที่เน้นวัตถุดิบธรรมชาติ ไม่ใส่สารกันเสีย ซึ่งตรงกับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ

และบริการที่เป็นเอกลักษณ์และคนไทยรู้จักคือ “Bikkura-Pon!” ที่ลูกค้าสามารถนำจานที่รับประทานเสร็จแล้วหยอดลงช่องบนโต๊ะ เมื่อครบห้าจานจะได้เล่นเกมเพื่อลุ้นรับของรางวัลจากตู้กาชาปอง ซึ่งสร้างประสบการณ์ที่สนุกสนานให้กับการรับประทานอาหาร

Kura Sushi เติบโตโดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าครอบครัว โดยให้ความสำคัญกับเด็กเป็นพิเศษ เช่น การเสิร์ฟซูชิทุกจานจะไม่ได้ใส่วาซาบิไว้อยู่แล้ว ทำให้ร้านเป็นที่นิยมของกลุ่มครอบครัว

.

Hama Sushi ผู้เล่นใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

แม้ว่า Hama Sushi ผู้เล่นที่อายุแบรนด์น้อยที่สุด แต่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วด้วยการสนับสนุนจากบริษัทแม่กลุ่ม Zensho (ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน Sukiya)

พื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งช่วยให้ Hama Sushi สามารถลงทุนในนวัตกรรมและการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Hama Sushi เป็นซูชิสายพานแห่งแรกที่เปิดบริการไดรฟ์ทรูสำหรับสั่งซื้อกลับบ้าน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว นอกจากนี้ยังพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือเพื่อจัดการคิวและลดเวลารอของลูกค้า ซึ่งทำให้สามารถบริการลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อีกหนึ่งจุดเด่นคือการคิดค้นโชยุสูตรเฉพาะของร้านเพื่อให้รสชาติที่โดดเด่นและแตกต่างกับคู่แข่ง

และยังขึ้นชื่อเรื่องการมีเมนูที่หลากหลายและสร้างสรรค์ เช่น การนำเนื้อวัวหรือเป็ดมาใช้เป็นหน้าซูชิ

.

Genki Sushi ผู้บุกเบิกระบบใหม่ (Uobei Sushi)

Genki Sushi นับเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกแนวคิดซูชิสายพานยุคแรกๆ ของญี่ปุ่น และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้

โดยมีแบรนด์หลักในประเทศญี่ปุ่นคือ Uobei Sushi ซึ่งเป็นร้านซูชิสายพานยุคใหม่ที่มีระบบการให้บริการที่แปลกใหม่

ความแตกต่างของ Uobei คือการที่ไม่มีซูชิวนบนสายพานตลอดเวลา แต่ใช้ระบบสายพานหลายชั้น ที่ส่งอาหารตามออเดอร์โดยตรงถึงโต๊ะลูกค้าเท่านั้น

ระบบนี้ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นเต้นและความแปลกใหม่ให้กับลูกค้า แต่ยังช่วยลดปัญหาอาหารเหลือทิ้งได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นระบบสั่งอาหารตามต้องการ ไม่มีจานวิ่งวนที่ทิ้งไว้ให้เสียเปล่าเหมือนร้านแบบเก่า

จุดที่น่าสนใจมากคือ Genki Sushi มีการขยายตัวในตลาดต่างประเทศเป็นหลัก โดยมีสาขาในเอเชียและอเมริกาเหนือรวมกว่า 240 สาขา ซึ่งมากกว่าจำนวนสาขาในประเทศญี่ปุ่นเองที่มีราว 170 สาขาเท่านั้น

.

Kappa Sushi ราชาแห่งซูชิราคาประหยัด

Kappa Sushi มีที่มาของชื่อแบรนด์ คือ “คัปปะ” ที่มาจาก “คัปปะมากิ” หรือซูชิมากิไส้แตงกวา ซึ่งเป็นซูชิราคาประหยัดที่เป็นสัญลักษณ์ของร้านตั้งแต่แรกก่อตั้ง การเลือกใช้ชื่อนี้สะท้อนถึงปรัชญาหลักของแบรนด์ที่ต้องการให้ทุกคนเข้าถึงซูชิคุณภาพดีได้

จุดแข็งหลักของ Kappa Sushi คือเรื่องราคาที่ดูไม่แพงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง และมีการจัดโปรโมชั่นอย่างสม่ำเสมอ เช่น โปรโมชั่นบุฟเฟต์ All You Can Eat

นอกจากนี้ Kappa Sushi ยังมีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในราคาที่ย่อมเยา กลยุทธ์นี้ช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นและผู้ที่มีงบจำกัด

ทำให้ Kappa Sushi กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับคนที่ต้องการทานซูชิคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้

.

ภาพรวมจำนวนสาขาของแต่ละแบรนด์

  1. Sushiro — 843 สาขา (ในประเทศ 648 / ต่างประเทศ 195)

  2. Hama‑Sushi — 718 สาขา (ในประเทศ 631 / ต่างประเทศ 87)

  3. Kura‑Sushi — 686 สาขา (ในประเทศ 551 / ต่างประเทศ 135)

  4. Genki Sushi (Uobei) — 416 สาขา (ในประเทศ 174 สาขา / ต่างประเทศ 242)

  5. Kappa Sushi — 311 สาขา

จากข้อมูลในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 จะเห็นได้ว่า Sushiro ยังคงครองอันดับหนึ่งด้วยจำนวนสาขารวมสูงสุด

และตลาดต่างประเทศก็ถือเป็นอีกตลาดที่หลายแบรนด์สนใจ โดยเฉพาะ Genki Sushi ที่มีสาขาต่างประเทศมากกว่าในประเทศ

.

อนาคตของซูชิสายพาน

การแข่งขันของผู้เล่นหลักทั้งห้ารายนี้แสดงให้เห็นว่าแต่ละแบรนด์มีกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน

บางแบรนด์เน้นนวัตกรรม บางแบรนด์เน้นคุณภาพ บางแบรนด์เน้นราคา และบางแบรนด์เน้นประสบการณ์ใหม่ๆ

แต่สิ่งที่ทุกแบรนด์ยึดถือร่วมกันคือแนวคิดพื้นฐานของซูชิสายพานที่คุณ Yoshiaki Shiraishi  วางรากฐานไว้:

ความย่อมเยา ความสะดวกรวดเร็ว และบรรยากาศที่เหมาะสำหรับครอบครัว ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ซูชิสายพานกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่น และขยายไปสู่ตลาดโลกได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นในไทย เกาหลีใต้ สิงคโปร์ หรือสหรัฐอเมริกา

การแข่งขันของ 5 แบรนด์นี้ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลาย ราคาที่ย่อมเยา และยังเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพการให้บริการและเพิ่มความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นในอนาคต

 

ที่มา

sushiwalker.com

rakurakukaji.com

dime.jp


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer