คนหนุ่มสาวชาวเกาหลีใต้จำนวนมากขึ้นกำลังหันมาเข้าร่วมโครงการ Working Holiday หรือยุคหนึ่งเคยเรียกว่า Work & Travel ที่เปิดโอกาสให้ทั้งได้เที่ยวต่างประเทศและทำงานไปด้วย
โครงการดังกล่าวรับผู้ที่มีอายุ 18-35 ปี หรือคนรุ่นใหม่กลุ่ม Gen Z และ Gen Y ให้ไปยัง 26 ประเทศและดินแดนที่เกาหลีใต้มีข้อตกลงกันอยู่ เช่นเดียวกับโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชน (Youth Mobility Scheme) ที่คล้ายกันกับสหราชอาณาจักร โดยลึกลงไปในรายละเอียดเรื่องนี้อีกประเด็นที่ทั้งน่าสนใจและสะท้อนถึงปัญหาในเกาหลีใต้
3 ประเทศที่คนเกาหลีใต้นิยมไป “เที่ยวและทำงาน” มากสุดคือ ออสเตรเลีย แคนาดา และญี่ปุ่น โดยเมื่อปี 2024 ทั้ง 3 ประเทศออกวีซ่าให้คนรุ่นใหม่จากเกาหลีใต้ รวมกัน 32,620 ฉบับ เพิ่มขึ้นถึง 8 เท่าจากปี 2021 ที่มีเพียง 4,250 ฉบับเท่านั้น
ตัวเลขนี้ยังสูงเป็นอันดับสองในรอบทศวรรษ แซงหน้าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ในปี 2019 ไปแล้ว โดยถือเป็นการสะท้อนว่า จากที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงโอกาสในการมาท่องเที่ยวหรือใช้ชีวิตช่วงว่างหลังเรียนจบหรืออยากพักจากการทำงานไปหาประสบการณ์ในต่างประเทศ (Gap Year)
ได้เปลี่ยนไปสู่การตั้งถิ่นฐานระยะยาว หรือแม้กระทั่งการย้ายประเทศอย่างถาวร โดยเฉพาะออสเตรเลียที่อนุญาตให้อยู่ได้นานถึง 3 ปี และแคนาดาที่อยู่ได้ถึง 4 ปี ซึ่งดึงดูดผู้ที่ต้องการขอสิทธิ์พำนักถาวรอย่างมาก

ซึ่งหากยังเพิ่มขึ้นอีกในระยะยาว อาจทำให้เกาหลีใต้เผชิญกับปัญหาสมองไหล ที่คนรุ่นใหม่เปี่ยมมีความรู้ความสามารถทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนไปทำงานต่างประเทศ ต่อเนื่องไปสู่การตั้งถิ่นฐานในระยะยาว อันจะกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
จอง (นามสมมติ) คน Gen Z ชาวเกาหลีใต้ เผยว่า ตัดสินใจเดินทางไปออสเตรเลียเมื่อปีที่แล้ว หลังจากหมดความอดทนกับการหางานเป็นปีๆ ในประเทศ ประกอบกับอยากหลุดพ้นจากตารางชีวิตที่เคร่งครัดในเกาหลีใต้ รวมไปถึงเบื่อที่จะต้องมาตอบคำถามของคนในครอบครัวว่า เมื่อไหร่จะแต่งงาน จะมีลูกเสียที
ด้านคิม (นามสมมติ) วัย 25 ปี ก็เป็น Gen Z เกาหลีใต้อีกคนที่ออกไปทำงานต่างประเทศ โดยตัดสินใจลาออกจากงานออฟฟิศเพื่อไปทำงานในโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ที่ออสเตรเลีย
และเมื่อไปถึงความเครียดก็ลดลงไปเยอะ เพราะไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะมองคุณอย่างไร และทำงานแค่ 2-3 สัปดาห์ก็อาจได้เงินเดือนเท่ากับทำงานทั้งเดือนในเกาหลีแล้ว
คิมเผยด้วยว่ากำลังเตรียมตัวยื่นขอวีซ่าแบบ Working Holiday ของอังกฤษและแคนาดา พร้อมเป้าหมายระยะยาวคือการย้ายประเทศอย่างถาวร
เทรนด์นี้เห็นได้ชัดเจนจากงานสัมมนาออนไลน์ที่จัดโดยหน่วยงานดูแลชาวเกาหลีในต่างแดน (Overseas Koreans Agency) เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ซึ่งคำถามหลั่งไหลเข้ามามากมายเกี่ยวกับการเขียนประวัติย่อ ความท้าทายในการหางาน และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
จนผู้จัดต้องจำกัดคำถามเหลือคนละ 3 ข้อ และหนึ่งในวิทยากรได้สรุปบรรยากาศในงานว่า โลกนี้กว้างใหญ่ อย่าลังเลที่จะออกไปเผชิญ
ชอน ซัง-จิน ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยโซกัง กล่าวว่า คนรุ่นใหม่เริ่มรู้สึกว่าความพยายามอย่างหนัก อาจไม่ได้นำมาซึ่งผลตอบแทนที่ยุติธรรมเสมอไป ทำให้บางคนเลือกที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างแดน
ด้านซอล ดง-ฮุน ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติชอนบุก ได้เตือนถึงผลกระทบในวงกว้างต่อโครงสร้างประชากร เพราะเกาหลีใต้คือประเทศอันดับต้นๆ ของโลกที่ปัญหาด้านประชากรรุนแรงสุด จากอัตราการเกิดต่ำ คนโสดมาก และสัดส่วนคนวัยชราสูงเมื่อเทียบกับประชากรวัยอื่นๆ
และเฉพาะคนวัยหนุ่มสาวก็เผชิญปัญหามากมาย ต้องทำทุกวิธีเพื่อคลายเครียด จนมีบางส่วนที่ถึงขั้นขอไปอยู่ทำงานต่างประเทศ ที่สะท้อนออกมาจากรายงานชิ้นนี้
แม้สัดส่วนของคนหนุ่มสาวที่ย้ายออกไปนอกประเทศอาจยังไม่มากนัก แต่สำหรับสังคมที่กำลังเผชิญกับปัญหาอัตราการเกิดต่ำและสังคมสูงวัยอยู่แล้ว
นี่จึงไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย โดยทางออกคือเกาหลีใต้ต้องก้าวให้พ้นจากวัฒนธรรมการแข่งขันที่ไม่มีที่สิ้นสุด และค่านิยมที่ยึดติดกับความสำเร็จเพียงด้านเดียว / koreatimes
