ดามาร์ หนึ่งในไกด์โต้คลื่นที่เก่งที่สุดบนเกาะลมบก ของอินโดนีเซีย พานักท่องเที่ยวต่างชาติออกไปชมทะเลด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่วและการพูดคุยที่เป็นกันเอง จนแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า นี่คือคนคนเดียวกับที่เคยกลัวชาวต่างชาติถึงขนาดหนัก
ความประหม่านั้นค่อยๆ จางหายไป เมื่อเกาะอันเงียบสงบที่เขาเรียกว่าบ้าน ค่อยๆ ได้รับความนิยมในหมู่ชาวตะวันตก
เกาะลมบก ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของบาหลี มีชายหาดสีฟ้าครามและทิวทัศน์ที่น่าทึ่งใกล้เคียงกับเพื่อนบ้านชื่อดัง แต่ต่างกันตรงที่เกาะนี้ปราศจากฝูงชนที่น่าหงุดหงิด และชายหาดยังคงเป็น “เพชรเม็ดงามที่ซ่อนอยู่” ในหมู่นักโต้คลื่น เช่นเดียวกับภูเขาไฟรินจานีสำหรับนักปีนเขา

นี่ทำให้เว็บไซต์ท่องเที่ยวกล้าใช้คำว่า เกาะที่ยังไม่ช้ำและสวยงาม เพื่ออธิบายถึงเกาะแห่งนี้จนกลายเป็นจุดขาย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมรัฐบาลอินโดนีเซียถึงมองเห็นโอกาสในการสร้างสวรรค์สำหรับนักท่องเที่ยวแห่งใหม่ จนเกาะลมบกได้ชื่อว่าเป็น “บาหลีสอง”
สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในเกาะลมบก ฉายา “บาหลีสอง” คือดาบสองคม เพราะเป็นทั้งโอกาสที่น่าไขว่คว้า และการต้องระวังถึงผลกระทบที่จะตามมาต่อบ้านเกิด โดยโชคร้ายที่ผลกระทบที่พวกเขาไม่อยากให้เกิดนั้นมันได้เกิดขึ้นแล้ว
ย่านมัณฑลิกาที่อยู่ทางตอนใต้ของเกาะ ถูกเลือกให้เป็นหัวใจของ “บาหลีสอง” โดยแนวชายฝั่งที่เคยเงียบสงบ ได้แปรเปลี่ยนเป็นรีสอร์ตหรูหรา คาเฟ่ รวมไปถึงสนามแข่งรถ เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้ชมเกือบ 150,000 คน แห่มาชมการแข่งขันมอเตอร์ไซค์กรังด์ปรีซ์
ระหว่างปี 2019 ถึง 2021 หลายสิบครอบครัวได้ถูกไล่ที่ เพราะอาศัยอยู่ในเขตสร้างสนามแข่งรถ โดยครอบครัวของดามาร์ ไกด์คนเก่งที่กล่าวถึงด้านบนก็เป็นหนึ่งในนั้น
ดามาร์เล่าว่า เขาและเพื่อนบ้านรู้สึกสิ้นหนทาง เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งที่นักเคลื่อนไหวประณามว่าเป็น แผนการตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ยุ่งเหยิง และค่าชดเชยที่ไม่เป็นธรรม โดยแม้โกรธมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะไม่มีแรงที่จะสู้กับรัฐบาลได้
นับตั้งแต่ถูกไล่ที่ ดามาร์ได้ซื้อที่ดินและสร้างบ้านของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เพื่อนบ้านหลายคนของเขายังทำไม่ได้ โดยในฐานะไกด์โต้คลื่น เขาประเมินว่าเขามีรายได้มากกว่าชาวประมง ซึ่งเป็ยอาชีพดั้งเดิมของชุมชนถึงสองเท่าไปแล้ว
แรงผลักดันที่จะเปลี่ยนโฉมเกาะลมบก เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะลดการพึ่งพาบาหลี ของรัฐบาลอินโดนีเซียเพราะแม้มีพื้นที่ไม่ถึง 1% ของประเทศ และมีประชากรไม่ถึง 2% แต่เมื่อปีที่แล้ว บาหลีรองรับนักท่องเที่ยวเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมดที่มาเยือนอินโดนีเซีย

นี่ทำให้ในปัจจุบัน บาหลี ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยวดังของอินโดนีเซียเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวอย่างของเมืองที่ช้ำเพราะรับนักท่องเที่ยวมากเกินไป หลังขาดการบริหารจัดการที่ดี (Overtourism) จนนำมาสู่มาตรการ “ตามแก้ไข” อย่างไม่หยุดหย่อน ที่สร้างความอับอายให้ประเทศ
วิกฤตในบาหลีที่ก่อนหน้านี้เพิ่งมีข่าวสั่งห้ามสร้างโรงแรมใหม่ และระงับการก่อสร้างลิฟต์แก้วชมทิวทัศน์ที่หน้าผาดัง ทำให้นักท่องเที่ยวและรัฐบาลอินโดนีเซีย มองหา “เมืองสวรรค์” แห่งใหม่ โดยปรากฏว่าเมืองนี้อยู่ห่างจากบาหลีไปเพียงชั่วโมงเดียว นั่นคือเกาะลมบก นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในเกาะลมบก กำลังถูกจับตามอง โดยปี 2024 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 81,500 คนเดินทางมาที่สนามบิน โดยเพิ่มขึ้น 40% จากปี 2023
ด้วยความกระตือรือร้นที่จะให้ลมบกเดินตามรอยบาหลี ทางการอินโดนีเซียได้ดึงดูดการลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ พร้อมด้วยเงินกู้อีก 250 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 8,000 ล้านบาท) จากธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB)
ความเจริญและความเปลี่ยนแปลงในเกาะลมบกจากโปรเจกต์ยักษ์เหล่านี้เห็นได้จาก โฮสเทลเก่าๆ ของนักโต้คลื่น ในกูตา ที่ถูกแทนที่ด้วยสระว่ายน้ำสีฟ้าจากคลอรีนและเตียงอาบแดดหรูหรา รวมถึงโรงเรียนนานาชาติสำหรับลูกหลานชาวต่างชาติในเมืองยอดนิยมในย่านมัณฑลิกา
เจ้าของคาเฟ่ แห่งหนึ่งในเกาะ สะท้อนถึงเสียงต่อต้านของคนในท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยว่า ไม่ต้องการถูก ‘จัดระเบียบ’ เหมือนกูตา
สิ่งที่เจ้าของคาเฟ่ รายนี้พูดไม่ใช่เรื่องเกินจริง โดยหลายเดือนก่อนหน้านี้ มีข่าวลือเรื่องการไล่ที่ในหาดตันจุง อาน ซึ่งถูกกำหนดไว้สำหรับแผนพัฒนาขนาดใหญ่ ขณะที่กองกำลังความมั่นคงบุกเข้าชายหาดเพื่อรื้อถอนร้านค้าเกือบ 200 แห่ง รวมถึงคาเฟ่ของเจ้าของรายนี้ด้วย
ด้านบริษัท ITDC ที่เป็นแกนนำการพัฒนา หลังได้รับเงิน 128 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4,100 ล้านบาท) เพื่อสร้างโรงแรมหรูบนหาดตันจุง อาน อ้างว่าเป็นโครงการจะช่วยสร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่สำหรับเจ้าของร้านอย่างเอลลาและสามีที่ขายมะพร้าวและกาแฟบนชายหาดมา 3 ปี มันไม่ใช่แบบนั้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ประเมินว่า มีคนมากกว่า 2,000 คนต้องสูญเสียอาชีพเลี้ยงชีพมานานไปในเพียงชั่วข้ามคืน จากการขับไล่ที่หาดตันจุง อาน โดยไม่ได้รับการแจ้งเตือนใดๆล่วงหน้าหรือมีแผนการเยียวยาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เหมาะสม
ผลกระทบจากความพยายามเปลี่ยนเกาะลมบกเป็น “บาหลีสอง” ยังไม่หมดแค่นั้น โดยเกาะแห่งนี้ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ซาซักที่นับถือศาสนาอิสลามที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งทำให้เมื่อเทียบกับบาหลี แอลกอฮอล์ไม่ได้หาดื่มง่าย และนักท่องเที่ยวมักได้รับการแนะนำให้แต่งกายมิดชิดกว่าการใส่บิกินี
ดังนั้นนี่จึงเป็นเมืองที่มีความอ่อนไหวด้านศาสนา วัฒนธรรมและจำกัดจากเหตุผลทางศาสนา ซึ่งคงจะเปลี่ยนไปเมื่อการท่องเที่ยวริมชายฝั่งเติบโต และมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น
บาซิล เบอร์เกอร์ นักท่องเที่ยวชาวสวิส ผู้ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนเกาะแห่งนี้ “บาหลีสอง” กล่าวว่า ลมบกพิเศษเพราะมีเอกลักษณ์ โดยถ้าอยากเห็นบาหลี ก็ควรไปบาหลี และการเปลี่ยนลมบกให้เป็นบาหลีอีกแห่ง คือสิ่งที่เลวร้ายมาก
นอกจากนี้หลายฝ่ายยังกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการขยะ โดยตัวอย่างที่ชัดเจนคือทิขยะมากถึง 30 ตัน ที่การแข่งขันกรังด์ปรีส์เมื่อตุลาคมที่ผ่านมาทิ้ง
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าโปรเจกต์เปลี่ยน เกาะลมบก ให้เป็น “บาหลีสอง” ยังเดินหน้าต่อไป และเป็นคนท้องถิ่นเองที่ต้องปรับตัว นี่ทำให้แม้รายได้ที่ชาวเกาะลมบกจะได้จะมีมากขึ้น แต่ก็มีสิ่งราคาที่ต้องจ่าย นั่นคือ วิถีชีวิตเงียบสงบและภูมิทัศน์สวยงามทั่วเกาะ ที่คงทยอยหายไป

ลารา เจ้าของโฮมสเตย์ในเกาะสะท้อนถึงเรื่องนี้ว่า ต่อไปการท่องเที่ยวจะเป็นรายได้หลักของคนในเกาะ โดยเธอก็สัมผัสเรื่องได้กับตัว ด้วยการที่ขยายโรงแรมเพิ่ม จาก 4 เป็น 14 ห้อง ทว่าเพื่อนฝูงและคนในครอบครัวก็ไม่ได้มาพบหน้ากันได้บ่อยๆ เหมือนแต่ก่อนที่ชีวิตในเกาะยังสงบเงียบ และไม่มีนักท่องเที่ยวมากมาย เพราะทุกคนต่างพากันไปหาเงินผ่านธุรกิจท่องเที่ยวที่กำลังเฟื่องฟูนั่นเอง / bbc
