ช่วงหลายปีมานี้ วังเวียง เมืองทางภาคเหนือของลาว กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของทั้งชาวไทย และจีน รวมถึงประเทศที่ไกลออกไปในซีกโลกหนึ่งอย่างประเทศแถบยุโรป ที่ดังในกลุ่มผู้โหยหาธรรมชาติ การผจญภัย และขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยโรงแรมมากมาย
ทว่าย้อนกลับไปอีกหลายสิบปีก่อนหน้านั้นแถบนี้เป็นที่ตั้งสนามบินลับที่ดำเนินการโดยหน่วยข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (CIA) เพื่อใช้โจมตีกลุ่มคอมมิวนิสต์ในลาว

วังเวียงเริ่มเปลี่ยนแปลงในปี 2018 หลังรัฐบาลลาวอนุญาตให้นักลงทุนจีนจะเข้ายึดพื้นที่สนามบินเก่าของ CIA และพัฒนาเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอื่นๆ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นส่วนขยายที่เอื้อประโยชน์กันของ โครงการสร้างทางรถไฟลาว-จีน (LCR) มูลค่า 6,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 193,000 ล้านบาท) ที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการขนาดยักษ์ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative – BRI) ที่ดังไปทั่วโลกนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่งทั้งวังเวียงและ LCR กลับเป็นภาพสะท้อนถึง ปัญหาใหญ่ที่ลาวกำลังเผชิญอยู่ นั่นคือ การจมอยู่กับภาระหนี้มูลค่ามหาศาลจากจีนซึ่งส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวลาว จนมีคนที่หนีไปทำงานต่างประเทศเพิ่มขึ้น

วังเวียงเป็นหนึ่งในจุดจอดหลักของทางรถไฟความเร็วสูงและสายขนส่งสินค้า ซึ่งสร้างเสร็จในปี 2021 ทางรถไฟสายนี้เชื่อมมณฑลยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนเข้ากับเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว ช่วยลดระยะเวลาเดินทางลงอย่างมาก
แม่น้ำโขง เคยเป็นเส้นทางหลักหล่อเลี้ยงการเกษตรและอารยธรรมทั่วอินโดจีนมาหลายพันปี แต่ปัจจุบัน นักฉวยโอกาสทางการค้ากลุ่มใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน กำลังเดิมพันกับระบบรางยกระดับและอุโมงค์ระยะทาง 422 กิโลเมตรที่ตัดผ่านประเทศลาวซึ่งไม่มีทางออกสู่ทะเล ว่าจะเป็นตัวเร่งสำคัญสำหรับการค้าและการไหลเข้าของเงินทุนใหม่ๆ
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ออกมากลับเป็น ดาบสองคม สะท้อนให้เห็นถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่เริ่มจำกัดการใช้จ่ายในการลงทุนขนาดใหญ่ในต่างประเทศ และข้อจำกัดเชิงปฏิบัติของเศรษฐกิจขนาดเล็กของลาว ซึ่งสะท้อนออกจากสถานการณ์ในเมืองโบเต็นที่อยู่ติดกับจีน และหลวงพระบาง หนึ่งในเมืองที่มีความสำคัญของประเทศ

โบเต็น คือจุดหมายแรกๆ ของนักเดินทาง เพราะเป็นสถานีแรกหลังจากข้ามมาจากจีน แต่ขณะเดียวกันเมืองนี้ ก็มีด้านมืด เนื่องจากเป็นหน้าต่างสะท้อนเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวและความกระตือรือร้นของนักลงทุนชาวจีนที่ลดลง นี่ทำให้ โบเต็น มีอาคารที่สร้างไม่เสร็จจำนวนมากเรียงรายอยู่เบื้องหลังป้ายโฆษณาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) ที่ซีดจางลง
ส่วนที่ หลวงพระบาง แม้เป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟความเร็วสูง เป็นส่วนหนึ่งของในเครือข่ายรถไฟยาว 48,000 กิโลเมตรของจีน ซึ่งทำให้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางจากบ้านเกิดข้ามมายังลาว อันน่าจะดีต่อธุรกิจท่องเที่ยวลาว แต่ผู้ประกอบการท้องถิ่นบางรายกล่าวว่า ผลประโยชน์ไม่ได้กระจายอย่างทั่วถึง
เนื่องจาก ทัวร์กลุ่มชาวจีนสร้าง “ระบบนิเวศแบบปิด” ที่เป็นเจ้าของโดยจีนเองแทบทั้งหมด ตั้งแต่รถมินิบัส ที่พัก ร้านอาหาร ไปจนถึงร้านขายของที่ระลึก ผู้ประกอบการท้องถิ่นแทบไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ ที่อาจเรียกได้ว่า ทัวร์ศูนย์เหรียญ แบบที่ไทยเคยเจอมาแล้ว
ผู้ประกอบการให้เช่าจักรยานชาวลาวรายหนึ่งในหลวงพระบางกล่าวว่า “พวกเราแทบไม่ได้ทำธุรกิจกับคนจีนเลย พวกเขาอาศัยและนอนในโรงแรมของพวกเขา และกินที่ร้านอาหารของพวกเขา”
ปัญหาและผลกระทบจากการจมหนี้จีนของลาว ยังไม่หมดแค่นั้น โดยในขณะที่การเชื่อมต่อทางรถไฟความเร็วสูงช่วยลดเวลาเดินทางระหว่างเมืองหลักๆ ได้อย่างมาก แต่ถนนพื้นฐานและโครงสร้างพื้นฐานโดยรอบสถานีรถไฟหลายแห่งยังไม่มีการปรับปรุง
ที่เวียงจันทน์ ผู้โดยสารที่สถานีรถไฟเวียงจันทน์จะพบกับถนนลูกรังที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ทำให้การเดินทางระยะทาง 15 กิโลเมตรไปยังใจกลางเมืองอาจใช้เวลาถึง 90 นาที
ส่วนที่เขตเศรษฐกิจพิเศษบึงธาตุหลวง โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่นำโดยนักพัฒนาจากเซี่ยงไฮ้ วางแผนสร้างตึกระฟ้าและศูนย์การค้าเลียบทะเลสาบเทียม โดยอ้างว่าได้รับแรงบันดาลใจจาก เดอะ บันด์ (The Bund) ในเซี่ยงไฮ้ แต่ความคืบหน้าก็เป็นไปอย่างช้าๆ มีเพียงอาคารที่สร้างเสร็จบางส่วน และบางแห่งถูกดัดแปลงเป็นโรงแรมชั่วคราวรองรับนักท่องเที่ยวกอล์ฟชาวเกาหลีใต้
ทั้งหมดโยงเข้ากับวิกฤตหนี้สินของลาว อันเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด ซึ่งไม่ได้เกิดจากแค่ทางรถไฟราคาแพงเท่านั้น แต่ยังมาจากโครงการพลังน้ำและการส่งกระแสไฟฟ้าที่ได้รับเงินทุนจากจีน ภายใต้ฉากหน้าในการทำให้ลาวเป็น “แบตเตอรี่แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” อีกด้วย
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่าหนี้ทั้งหมดของลาวจะสูงถึง 118% ของ GDP ในปี 2025 และเกินครึ่งหนึ่งของหนี้ดังกล่าวก็เป็นหนี้จากจีน นี่ส่งผลต่อเนื่องให้ ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศและค่าเงินกีบของลาวตกต่ำลง โดยค่าเงินกีบลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2022 นำไปสู่อัตราเงินเฟ้อสองหลักและปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหาร
ด้านสถาบัน Lowy Institute ชี้ว่า วิกฤตหนี้ของลาวเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญโดย หนี้ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในการขยายการผลิตพลังงานน้ำเพื่อรองรับตลาดในประเทศ ไม่ใช่เพื่อการส่งออก ทำให้เกิดกำลังการผลิตไฟฟ้าล้นเกิน และขาดทุนทางการเงินอย่างหนักสำหรับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL)
สถานการณ์ทั้งหมด ทำให้ลาวกำลังจมอยู่กับการทูตกับดักหนี้ ซึ่งเจ้าหนี้รายใหญ่คือจีน ท่ามกลางการวิเคราะห์ว่า จีนอาจทำไปเพื่อหวังยึดโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของลาว ซึ่งกำลังทำให้ชาวลาวรุ่นใหม่ต่างพากันเรียนภาษาจีน เพื่อหวังจะทำธุรกิจกับชาวจีนและบริษัทจีน

ส่วนผู้ที่ทนกับสภาพการณ์นี้ต่อไปไม่ไหวก็พากันเดินทางไปทำงานต่างประเทศ โดยมีไทยกับเกาหลีใต้เป็นที่หมายหลัก / straitstimes
