ดิ เอราวัณ พลิกเกมรอดวิกฤต ด้วยแบรนด์ ฮ็อป อินน์
จากโรงแรมหรู สู่เครือบัดเจ็ทที่ใหญ่ที่สุดในไทย
เอราวัณ กรุ๊ป คือเจ้าของโรงแรมรายใหญ่ของประเทศ เช่นเดียวกับกลุ่มไมเนอร์ฯ, CENTEL, ดุสิตธานี และ AWC
หลังบ้านคือ 2 ตระกูลใหญ่ “ว่องกุศลกิจ–วัธนเวคิน” จากน้ำตาลมิตรผลและกลุ่มการเงินเกียรตินาคิน
แต่ในช่วงโควิด-19 ทำให้รายได้และกำไรของกลุ่มนี้ทรุดฮวบ
ในปี 2563 รายได้เหลือเพียง 2,348 ล้านบาท ขาดทุนพุ่งสูงถึง 1,715.26 ล้านบาท
จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ดิ เอราวัณ ต้อง “พลิกเกม” หันมาโฟกัส HOP INN (ฮ็อป อินน์) เครือโรงแรมราคาประหยัด เพื่อกอบกู้ทั้งกระแสเงินสดและอนาคตขององค์กร
จะว่าไปแล้ว แบรนด์ ฮ็อป อินน์ ของดิ เอราวัณ กรุ๊ป เป็นแบรนด์ที่มาก่อนกาล เปิดบริการครั้งแรกตั้งแต่ปี 2557 ด้วยวิธีคิดในช่วงเวลานั้นที่ว่า
1.เห็นช่องว่างของตลาด (Market Gap) ก่อนคู่แข่ง เพราะตลาดโรงแรมไทยในเวลานั้นกระจุกตัวในระดับลักชัวรีและระดับกลาง เป็นสนามแข่งขันหนัก ต้นทุนสูง และเสี่ยงสูง
ขณะที่ตลาดโรงแรมราคาประหยัดที่ได้มาตรฐาน คุณภาพดี แทบไม่มีรายใหญ่ลงมาเล่น ทั้งที่ดีมานด์เติบโตจากนักเดินทางอิสระ พนักงานไซต์งาน พนักงานขาย และคนทำงานต่างจังหวัด
การสร้างแบรนด์ใหม่ในเซ็กเมนต์ที่คู่แข่งน้อย จึงเป็นโอกาสทอง
2.กระจายความเสี่ยงของพอร์ต ก่อนปี 2555 รายได้ ERW พึ่งโรงแรมระดับบน ซึ่งเปราะบางต่อเศรษฐกิจ การเมือง และภัยพิบัติ
3.สามารถสเกลได้เร็ว ทำกำไรได้จริง โมเดลควบคุมต้นทุน การออกแบบ และมาตรฐานเดียวกันทุกแห่ง
10 ปีผ่านไป ผลลัพธ์ที่พิสูจน์ว่า ‘มาถูกทาง’
ในช่วงโควิด-19 โรงแรมประเภทนี้กระทบน้อยและฟื้นเร็วที่สุด หลังโควิด โมเดลของฮ็อป อินน์ กลายเป็นปัจจัยสำคัญหรือกลยุทธ์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2557 นั้น ฮ็อป อินน์ มีจำนวนห้องพักทั้งหมดเพียง 768 ห้อง
ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 มีโรงแรมรวม 101 แห่ง จำนวนห้องพักทั้งหมด 12,174 ห้อง รวมทั้งบุกไปเปิด ฮ็อป อินน์ สาขาที่ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่นด้วย
ตัวเลขผลประกอบการล่าสุดของเอราวัณ กรุ๊ป Q3/68 รายได้รวมก่อนรายการพิเศษ 5,679 ล้านบาท เป็นของโรงแรมระดับบน 74% ฮ็อป อินน์ 26% (1,475 ล้านบาท)
EBITDA 1,762 ล้านบาท เป็นของโรงแรมระดับบน 67% ฮ็อป อินน์ 33% (582 ล้านบาท)
การที่ฮ็อป อินน์ มีสัดส่วนรายได้เพียง 26% แต่สร้าง EBITDA ถึง 33%สะท้อนความสามารถในการทำกำไรที่คุ้มค่าต่อการขยายตัว
สำหรับ 9เดือนแรกของปี 2568 เปรียบเทียบช่วงเดียวกันของปี 2567 ก ฮ็อป อินน์ มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 1,421 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 และกำไรระดับ EBITDA 647 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19
นอกจากนี้ ฮ็อป อินน์ ยังเดินเกมรุกต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายขยายเครือข่ายให้ได้ 150 สาขา รวมมากกว่า 14,000 ห้องพักภายในปี 2030 โดยเตรียมลงทุนรวมกว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อผลักดันการเติบโตครั้งใหญ่ พร้อมทั้งมีแผน นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย
Key Success ของฮ็อป อินน์ คือ “มาตรฐานเดียวกันทุกสาขา” สะอาด–ปลอดภัย–ทำเลดี–ราคาดี ราคาส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 700–1,200 บาท
โดยมีกลุ่มลูกค้าหลัก เป็นนักเดินทางภายในประเทศ ซึ่งวัตถุประสงค์ของการเข้าพักกว่าร้อย ละ 70 เป็นการเดินทางเพื่อการทำธุรกิจ
ในขณะที่ทุกวันนี้โรงแรมรายใหญ่ต่างเร่งแตกไลน์ “บัดเจ็ทโฮเทล” อย่างต่อเนื่อง
ปลายปี 2568 CPN เตรียมเปิดตัว GO! Hotel แห่งที่ 5 พร้อมวางเป้าขยายเป็น 25 แห่งภายใน 5 ปี ฝั่งภาคเหนือ B2 Hotel จากกลุ่มจาวลาเชียงใหม่ก็ขยายเครือข่ายไปแล้วกว่า 60 โรงแรมทั่วประเทศ ส่วน Fortune Hotel Group ภายใต้ซี.พี.แลนด์ ก็เป็นผู้เล่นในสนามนี้มายาวนาน
และล่าสุด โออาร์ ในเครือ ปตท. ก็ส่งสัญญาณชัดเจนหลายครั้งว่าเตรียมรุกตลาดบัดเจ็ทโฮเทลเต็มกำลัง ด้วยจุดแข็งพื้นที่สถานีบริการน้ำมันกระจายทั่วประเทศ
จากตลาดที่เคยโล่งและแข่งขันไม่มาก กำลังกลายเป็นสมรภูมิเดือดในไม่ช้า
ฮ็อป อินน์ ในฐานะผู้นำปัจจุบัน จึงประมาทไม่ได้เหมือนกัน
