จากต้นปี 2017 จนจะสิ้นปี 2018 ภาพรวมค่าเงินบาทค่อยๆ แข็งค่าขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน

ค่าเงินบาทแข็งก็เหมือนกับเหรียญ 2 ด้าน ที่มีทั้งร้ายและดี
ด้านดีก็คือ กลุ่มธุรกิจนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจะมีต้นทุนทำธุรกิจที่ถูกลงทันที ยกตัวอย่างค่าเงินบาทในวันนี้คือ 32.2 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
หากนำเข้าสินค้าจากอเมริกาในมูลค่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ จะต้องควักกระเป๋าจ่าย 3,220 บาท
แต่หากนำเข้าสินค้าในมูลค่า 100 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากัน แต่เปลี่ยนช่วงเวลามาที่มกราคม 2017 ที่ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เราจะเสียเงินถึง 3,550 บาท
เวลาต่างกัน 1 ปีแต่ต้นทุนทางธุรกิจถูกลงไป 330 บาท
ไม่แปลกที่ในปีนี้ธุรกิจนำเข้าสินค้ามาขายในเมืองไทยจะเติบโตขึ้นด้วยค่าเงินที่แข็งขึ้น เพราะทั้งกลุ่มบริษัทและคนทั่วไปเลือกจะสั่งสินค้าจากต่างประเทศมาขายในไทย
กลับกันในด้านร้ายก็คือ กลุ่มธุรกิจส่งออกจะมีรายได้น้อยลงทันที เพราะหากวันนี้ส่งออกสินค้าไป 100 ดอลลาร์สหรัฐ จะได้เงินกลับมา 3,220 บาท ต่างจากช่วงมกราคมปี 2017 ที่จะได้เงิน 3,550 บาท
แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้ภาพรวมเงินบาทแข็งค่าแบบต่อเนื่องจากต้นปี 2017 จนจะสิ้นปี 2018 อันดับแรกสุด ก็คือเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ เองที่อ่อนค่าลงจากนโยบายการคลังของรัฐบาลทรัมป์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มค่อยๆ แผ่วลง และสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ

ขณะที่ในประเทศไทยเองนั้นก็เกิดมีเงินไหลเข้าจากนักลงทุนในตลาดพันธบัตร ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
คำถามต่อมา แล้วค่าเงินบาทในปีหน้าจะ Strong ขึ้นหรือคงที่ หรืออาจจะอ่อนตัวลง ตรรก บุนนาค ประธานเจ้าหน้าที่โกลบอลมาร์เก็ตส์ ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประเมินค่าเงินบาทในแต่ละไตรมาสในปี 2019 ไว้ดังนี้

แน่นอน เหตุผลที่เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นก็คือ การจะมีเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2019 ที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงปัจจัยจากการค้าโลกที่จะส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากขึ้นหากเทียบกับในปี 2018
และตลอดทั้งปีก็จะวิ่งขึ้นๆ ลงๆ อยู่ระหว่าง 31-32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
–
