เพราะความจำเป็นและสถานการณ์ที่เปลี่ยนอย่างฉับพลัน อินเดียจึงต้องเปิดการเจรจากับกลุ่มที่ยังถูกตั้งข้อกังขาจากประชาคมโลก
Deepak Mittal เอกอัครราชทูตอินเดียประจำกาตาร์ ได้มีการเจรจากับ Abbas Stanikzai หัวหน้าฝ่ายการเมืองของกลุ่มตาลีบัน ตามข้อเรียกร้องของฝ่ายหลังที่ยึดคืนอำนาจในอัฟกานิสถานอย่างรวดเร็วถัดจากการที่สหรัฐฯ พร้อมด้วยชาติพันธมิตรถอนทหารและเจ้าหน้าที่ออกไป
การเจรจาดังกล่าวมีขึ้นที่สถานทูตอินเดียในกรุง Doha ของกาตาร์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (31 สิงหาคม) โดยหัวหน้าฝ่ายการเมืองของกลุ่มตาลีบันรับปากว่าจะคงความสัมพันธ์ด้านต่างๆ กับอินเดีย เช่น ทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เอาไว้ ไม่ต่างจากสมัยรัฐบาลพลเรือนอัฟกานิสถานตลอด 20 ปีที่ผ่านมา
ด้านกระทรวงการต่างประเทศอินเดียระบุว่าการเจรจาครั้งนี้ดำเนินไปในทิศทางที่ดี ส่วนประเด็นในการเจรจาก็ครอบคลุมทั้งเรื่องความปลอดภัย ความมั่นคงและการให้ชาวอินเดียที่ยังตกค้างอยู่ในอัฟกานิสถานกลับประเทศอย่างปลอดภัย เช่นเดียวกับชนกลุ่มน้อยอัฟกานิสถานที่สามารถข้ามมายังอินเดียโดยไม่ได้รับอันตรายใด ๆ ด้วย
ลึกลงไปในรายระเอียดการเจรจาครั้งนี้สำคัญต่อทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายอินเดียเป็นการสกัดไม่ให้กลุ่มหัวรุนแรงในอัฟกานิสถานเข้ามาก่อเหตุรุนแรงในประเทศจนกลายเป็นภัยความมั่นคง
ขณะเดียวกันยังเป็นการป้องกันไม่ให้กว่า 400 โครงการในอัฟกานิสถาน ที่อินเดียลงทุนไปมากถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 96,000 ล้านบาท) ต้องเสียหายหรือล้มเลิก
ส่วนฝ่ายกลุ่มตาลีบัน จะเป็นการทยอยลบภาพอดีตกลุ่มก่อความรุนแรงและอาจนำไปสู่การเจรจากับประเทศอื่นต่อ ๆ ไป ขณะเดียวกันยังเป็นการพาให้เศรษฐกิจของอัฟกานิสถานได้เดินหน้าต่ออีกด้วย แม้ยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมากว่าจะยุติใช้ความเข้มงวดและรุนแรงเกินกว่าเหตุได้จริงตามที่ประกาศไว้หรือไม่
เพราะช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจยังมีรายงานชาวอัฟกันเสียชีวิตจากฝีมือของกลุ่มตาลีบันออกมาอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางข่าวการหนีตายไปต่างแดนของประชาชนกลุ่มใหญ่ รวมถึงผู้สื่อข่าวและนักกีฬา
สำหรับอินเดียกับอัฟกานิสถานถูกคั่นด้วยปากีสถาน โดยอินเดียตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอัฟกานิสถานในสมัยตาลีบันปกครองอัฟกานิสถานช่วงยุค 90 เพราะเห็นว่ามีสายสัมพันธ์กับกลุ่มหัวรุนแรงในปากีสถาน
แต่หลังสหรัฐฯ ส่งทหารและเจ้าหน้าที่เข้ามายึดครองอัฟกานิสถาน อินเดียก็รื้อฟื้นความสัมพันธ์กับอัฟกานิสถาน เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลพลเรือนอัฟกันที่สหรัฐฯ หนุนหลังอยู่ สามารถสกัดกลุ่มหัวรุนแรงไม่ให้แทรกซึมเข้ามาในปากีสถานแล้วข้ามมาก่อเหตุในอินเดียได้ จนนำมาสู่การลงทุนมูลค่ามหาศาลในอัฟกานิสถาน
ล่าสุดหลังขั้วอำนาจเปลี่ยน ตาลีบันกลับมาปกครองอัฟกานิสถานอีกครั้งแต่ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปอินเดียจึงไม่รอช้า ตอบรับการเจรจาทันทีเมื่อกลุ่มตาลีบันร้องขอ ซึ่งเหตุผลหลัก ๆ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้โครงการใหญ่ ๆ ที่ลงทุนไปแล้วสะดุดและยังเป็นการสกัดภัยก่อการร้ายไปด้วยในตัวนั่นเอง
การเปิดโต๊ะเจรจาระหว่างอินเดียกับกลุ่มตาลีบันมีขึ้นหลังจีน ‘เปิดประตูบ้าน’ เจรจากับกลุ่มตาลีบันอย่างเปิดเผย และทันทีหลังสหรัฐฯ ประกาศถอนกำลังทหาร จนเป็นข่าวไปทั่วโลก โดยแม้เหตุผลของการเจรจาใกล้เคียงกับอินเดีย คือเศรษฐกิจและความมั่นคง แต่ก็มีข้อแตกต่าง
จีนต้องการแสดงให้โลกเห็นถึงความเป็นชาติมหาอำนาจเต็มตัว และป้องกันไม่ให้โครงการเศรษฐกิจ หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (One belt One Road) เชื่อมเอเชียกับยุโรปต้องสะดุด
ขณะเดียวกันจีนยังหวังเข้าไปลงทุนทำเหมืองแร่หายากต่าง ๆ ในอัฟกานิสถาน ซึ่งในจำนวนนี้มีนิกเกิลที่สำคัญต่อกระบวนการผลิต Smartphone และรถ EV รวมอยู่ด้วย/cnbc
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ