MINT ปิดปี 2565 ตัวเลขผลประกอบการกลับมาโตกว่าก่อนเกิดโควิด ไตรมาส 1-3/2565 กำไรสุทธิ 2.3 พัน ลบ. ตั้งธง กำไรสุทธิ โต 2 ดิจิต/ปี ใน 3 ปีหลังจากนี้ เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ชุดใหม่ 7-9 ก.พ. 66

มร. ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)-MINT หรือ MINOR เผยว่า ปัจจุบันบริษัทประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจหลัก

ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ทั้งในรูปแบบเป็นเจ้าของเอง บริหารจัดการ และร่วมลงทุน โดยมีโรงแรมและเซอร์วิส สวีต มากกว่า 520 แห่ง ภายใต้แบรนด์ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอ็นเอช, นาว, เอเลวาน่า, แมริออท, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์ รีจิส, เรดิสัน บลู และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ใน 56 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ

ธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 2,400 สาขา ใน 23 ประเทศ ภายใต้แบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริเวอร์ไซด์, เบนิฮานา, ไทย เอ็กซ์เพรส, บอนชอน, กาก้า, คอฟฟี่ เจอนี่, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน และ เบอร์เกอร์ คิง

ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์และรับจ้างผลิต ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ อเนลโล่, เบิร์กฮอฟฟ์, บอสสินี่, ชาร์ล แอนด์ คีธ, โจเซฟ โจเซฟ, สวิลลิ่ง เจ.เอ. เฮ็งเคิลส์ และไมเนอร์ สมาร์ท คิดส์

 

เจาะพอร์ต 3 กลุ่มธุรกิจหลัก

MINT

พบปิดปี 2565 กลับมาโตกว่าก่อนโควิด

โรงแรม (Hotels Group) ร้านอาหาร (Food Group) ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Group)
อนันตรา เดอะพิซซ่าคอมปะนี อเนลโล่
อวานี เดอะคอฟฟี่คลับ เบิร์กฮอฟฟ์
โอ๊คส์ ริเวอร์ไซด์ บอสสินี่
ทิโวลี เบนิฮานา ชาร์ลแอนด์คีธ
เอ็นเอชคอลเลคชั่น ไทยเอ็กซ์เพรส โจเซฟโจเซฟ
เอ็นเอช บอนชอน สวิลลิ่ง เจ.เอ.เฮ็งเคิลส์
นาว กาก้า ไมเนอร์สมาร์ทคิดส์
เอเลวาน่า คอฟฟี่เจอนี่
แมริออท สเวนเซ่นส์
โฟร์ซีซั่นส์ ซิซซ์เลอร์
เซ็นต์รีจิส  แดรี่ควีน
เรดิสันบลู เบอร์เกอร์คิง
* ไตรมาส 1-3/2565 MINT มีรายได้ 8 หมื่น ลบ. กำไร 2.37 พัน ลบ.
ที่มา: MINT, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ภาพรวมธุรกิจของบริษัท ปี 2565 มีอัตราการทำกำไรที่เป็นบวกทั้งหมด โดยผลประกอบการรวมในปีที่ผ่านมา สามารถพลิกกลับมาทำกำไร และมีรายได้รวมสุทธิ มากกว่าการดำเนินงานของบริษัท ในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ในปี 2562

อ้างอิงข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า ไตรมาส 1-3/2565 MINT มีรายได้ 80,000 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,375.71 ล้านบาท แชร์สัดส่วนรายได้ใน 3 กลุ่มธุรกิจของบริษัท ดังนี้ 1. โรงแรม 75%, 2. ร้านอาหาร 23% และ 3. ไลฟ์สไตล์ 2%

สภาพคล่องทางการเงินของบริษัท ปัจจุบันมีเงินสดอยู่ในมือประมาณ 23,000 ล้านบาท มีวงเงินสินเชื่อ 30,000 ล้านบาท และไตรมาส 3/2565 มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนสุทธิ 1.19 เท่า ลดลงมาจาก 1.36 เท่า เมื่อปลายปี 2564

กลยุทธ์ธุรกิจระยะยาวของบริษัท หรือ 3 ปีต่อจากนี้ ตั้งเป้ารายได้โต 12-15% ต่อปี, ผลตอบแทนเงินลงทุน ไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี และ กำไรสุทธิ โตในระดับตัวเลข 2 ดิจิตต่อปี

สำหรับภาพรวมของ 3 กลุ่มธุรกิจของ MINT เริ่มจาก ไมเนอร์ โฮเทลส์ หรือ ธุรกิจโรงแรม ปี 2566 พบสัญญาณการเติบโตที่แข็งแกร่ง จากแนวโน้มการจองห้องพักล่วงหน้าที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่มีสัญญาณการชะลอตัวของความต้องการของลูกค้าในการเดินทางพักผ่อน

บริษัทจะมีการเพิ่มอัตราการเข้าพัก และการปรับขึ้นราคาห้องพักให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ภายหลังการยกเลิกข้อจำกัดในการเดินทาง พร้อมขยายการให้บริการนักเดินทางกลุ่มธุรกิจ ควบคู่กับการผลักดันกลยุทธ์เชิงการตลาดให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ไมเนอร์ ฟู้ด หรือ ธุรกิจร้านอาหาร เป็นกลุ่มธุรกิจที่ทำกำไรมา 9 ไตรมาสติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 2020 จากอานิสงส์ของฟู้ดเดลิเวอรีในช่วงโควิด-19 ทั้งการคลายล็อกดาวน์ ทำให้ดีมานด์กลับมานั่งทางในร้านของผู้บริโภคมีมากขึ้น

ปี 2566 บริษัทยังคงมุ่งสร้างรายได้ ผ่านทุกช่องทางการขาย ในขณะที่เสริมสร้างโครงสร้างต้นทุน เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรโดยรวมต่อไป ผ่านความคิดริเริ่มใหม่ ๆ

เช่น ร้านค้ารูปแบบใหม่ แพลตฟอร์มลอยัลตี้โปรแกรมระหว่างลูกค้าและแบรนด์ ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อสร้างความตื่นเต้นทางการตลาด ซึ่งจะเป็นเป้าหมายหลักในการเป็นผู้นำทางด้านร้านอาหาร และครองส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทต่อไป

ขณะที่ ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ หรือ ธุรกิจไลฟ์สไตล์ มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ซึ่งมาจากการตัดต้นทุนในหลาย ๆ ด้าน อาทิ ส่วนลด-โปรโมชั่นต่าง ๆ และได้มีการขานรับการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซ โดยการดำเนินธุรกิจซึ่งมุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากขึ้น รวมถึงการสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้าที่ผสมผสานได้อย่างกลมกลืน

ระหว่างช่องทางหน้าร้าน และช่องทางออนไลน์ ผ่านการเลือกสรรผลิตภัณฑ์ การตั้งราคา และการเพิ่มช่องทางการชำระเงิน ควบคู่ไปกับการรักษาฐานลูกค้าเดิม เพิ่มลูกค้าใหม่ และการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเดินหน้าสร้างการเติบโตเต็มรูปแบบ (Back to Growth) ในปี 2566 ตลอดจนเพื่อเป็นการต่อยอดความแข็งแกร่ง และความมั่นคงของบริษัทตลอด 50 ปี MINT จึงมุ่งสร้างสายสัมพันธ์แห่งความสำเร็จ

ภายใต้แนวคิด “Bond with us” ระหว่างบริษัท ผู้บริโภค และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน โดยได้เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ชุดใหม่ ครั้งที่ 1/2566 ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกหุ้นกู้ในระดับ “A” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่”

และอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ชุดใหม่นี้ ในระดับ “BBB+” โดยบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2565 โดยบริษัทคาดว่าจะเปิดจองซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ชุดใหม่ แก่ประชาชนเป็นการทั่วไประหว่างวันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ 2566

ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 11 แห่งทั่วประเทศ โดยบริษัทเชื่อว่าจะสามารถใช้ประโยชน์จากแบรนด์ และทรัพย์สินที่มีคุณภาพสูงเพื่อสร้างรายได้ ทั้งผลักดันผลกำไร และผลตอบแทนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด ได้อย่างแข็งแกร่ง และต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งจะสามารถสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทได้เป็นอย่างดี

 



ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online