น้ำมันพืชหยก ทำความรู้จักบริษัทล่ำสูง 50 ปี มีรายได้กว่า 1 หมื่นล้านบาท

ชื่อของ บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หลายคนอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่า บริษัทนี้เป็นเจ้าของน้ำมันพืช “หยก”

เชื่อว่าหลายคนต้องร้องอ๋อ เพราะน้ำมันพืชยี่ห้อนี้อยู่คู่ครัวคนไทยมานาน

และเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท ล่ำสูง ได้เปิดตัวแถลงข่าวกับสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่ง

ซึ่งเป็นการแถลงข่าวครั้งแรกในรอบ 50 ปีของบริษัท

“ล่ำสูง” หรือ “Lam Soon” เป็นภาษาจีนแปลว่าการเติบโตมาจากเมืองทางตอนใต้

ผู้ก่อตั้งบริษัทคือ “หวังล่ำสูงต้าเหลียน” ชาวสิงคโปร์ ที่ทำธุรกิจในสิงคโปร์ มาเลเซีย ก่อนจะขยายกิจการเข้ามาก่อตั้งเป็นบริษัทในประเทศไทยเมื่อปี 2517 และเข้าไปเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี 2539

เริ่มแรกคือการอิมพอร์ตน้ำมันปาล์มจากประเทศมาเลเซียมาบรรจุขวดขายในประเทศไทย มีทั้งตราแสงจันทร์ ตราเป็ด รวมทั้งหยกซึ่งเป็นตัวแฟลกชิป

ต่อมาได้ไปถือหุ้นใหญ่ในบริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) หรือ UPOIC  ซึ่งมีธุรกิจปลูกปาล์มน้ำมัน โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบและโรงงานสกัดน้ำมันเมล็ดในปาล์มที่จังหวัดกระบี่

เป็นการลงทุนทำธุรกิจผลิตน้ำมันปาล์มอย่างจริงจังตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำในประเทศไทย

วันนี้ ล่ำสูงผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์ม, ไขมันพืชผสม และเนยเทียม

ในปี 2547 เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในธุรกิจจากความผันผวนของราคาน้ำมันปาล์ม ได้เข้าไปซื้อกิจการ บริษัท อาหารสากล จำกัด (มหาชน) หรือ UFC ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ผักและผลไม้แปรรูป เช่น ผักและผลไม้กระป๋อง น้ำผลไม้พร้อมดื่ม และซอสปรุงรส ภายใต้เครื่องหมายการค้าตรา UFC

ปี 2565 มีรายได้ 11,670 ล้านบาท มีกำไร 432 ล้านบาท ส่วน 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้ 8,233 ล้านบาท มีกำไร 387 ล้านบาท

ปัจจุบันมี ภูมิเกียรติ โชติชัยชรินทร์ เป็นกรรมการผู้จัดการเมื่อปี 2565

ในหมวดน้ำมันปาล์ม ในครึ่งปีแรก/2566 หยกมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 (ข้อมูลจากนีลเส็น) และกำลังตั้งเป้าหมายให้เป็นที่ 1

และในวันที่อาหารเพื่อสุขภาพมาแรง ล่ำสูงกำลังรุกตลาดนี้ในหลาย ๆ สินค้า

ล่ำสูงใช้วาระครบรอบ 50 ปีเปิดตัวเพื่อสื่อสารแบรนด์มากขึ้น อีกนัยหนึ่งก็เพื่อให้เห็นว่าจะ “เอาจริง” มากขึ้น

พลิกไปอ่าน แนวคิดของผู้บริหารและแนวคิดด้านการตลาดของแบรนด์นี้กัน

ภูมิเกียรติ โชติชัยชรินทร์ เข้ามาร่วมงานกับล่ำสูงเมื่อปี 2565 ในขณะที่เขาเองกำลังสนุกอยู่กับงานของ บริษัทไทยกูลิโกะ

“ผมเป็นกรรมการผู้จัดการที่เป็นชาวไทยคนแรกของกูลิโกะ ก่อนมาที่นี่กำลังสนุกอยู่กับการพัฒนากูลิโกะ ป๊อกกี้ให้มีคุณค่าทางอาหารมากขึ้น เมื่อได้มีโอกาสคุยกับคณะกรรมการสรรหาของล่ำสูง ก็มีความคิดเห็นตรงกันเรื่องเทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพ ที่เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นหลังวิกฤตโควิด-19

เขาจบปริญญาตรีบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จบปริญญาโท MBA, Washington State University ประเทศสหรัฐอเมริกา

ก่อนร่วมงานกับกูลิโกะเคยเป็นผู้จัดการทั่วไป พีแอนด์จี เฮลท์ พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) มาก่อน ทำเรื่องเกี่ยวกับวิตามินและอาหารเสริม

การเข้ามาร่วมงานกับล่ำสูงจึงน่าจะเป็นพื้นที่หนึ่งที่กว้างขึ้น และได้ใช้โอกาสของประสบการณ์เดิมเข้ามาช่วยเติมเต็ม เพื่อไปสู่เป้าหมายตอบโจทย์ผู้บริโภคในเรื่องเทรนด์เพื่อสุขภาพ

เมื่อเข้ามาเขาพบว่าหยก คือเมนสตรีมก็จริง แต่ที่นี่ยังมีโปรดักส์อื่น ๆ อีกมากที่ตอบโจทย์เรื่องสุขภาพ เช่น แบรนด์ เนเชอเรล ซึ่งมีทั้งน้ำมันใส (ซอฟต์ออยล์) เช่น น้ำมันทานตะวัน น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก ซึ่งพบว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีตัวเลขการเติบโตที่เร็วขึ้น

กลุ่มลูกค้าของล่ำสูงจะมีทั้ง B2B และ B2C ในกลุ่ม B2C ลูกค้าทั่วไปจะสนใจในเรื่องสุขภาพมากขึ้น แบรนด์ เนเชอเรล หรือหยกเอกซ์ตร้าจะตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้

ส่วนในกลุ่ม B2B ธุรกิจทำเบเกอรี่กำลังมาแรงมาก ก็จะมีสินค้าต่อเนื่องที่ทำมาจากน้ำมันปาล์ม เช่น ไขมันพืชผสม และเนยเทียม แป้ง

พอร์ตหลัก ๆ ของหยกจะประกอบไปด้วยน้ำมันพืช ภายใต้ตรา หยก เช่น หยก เอ็กซ์ตร้า, เนเชอเรล ผลิตภัณฑ์เนยเทียมและไขมันพืชผสม ผลิตภัณฑ์บัตเตอร์ เบลนด์ ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก ผลิตภัณฑ์ส่วนผสมเบเกอรี่ เช่น แป้งสาลี ตราเซสท์

รวมถึงเครื่องปรุงและซอสนำเข้าจากออสเตรเลีย ตรา มาสเตอร์ ฟู้ดส์

ยุทธศาสตร์ ปี 2567 ไปต่ออย่างยั่งยืนอย่างไร

บริษัทยังโฟกัสในการรักษาตลาดใน 3 สินค้าหลัก คือ น้ำมันหยก เจาะกลุ่มตลาดแมส น้ำมันหยก เอ็กซ์ตร้า เจาะกลุ่มระดับกลาง และ ตราเนเชอเรล เจาะตลาดพรีเมียม สำหรับลูกค้าที่เน้นในเรื่องสุขภาพ

“สำหรับหยกในหมวดของน้ำมันปาล์มเรามีส่วนแบ่งตลาดเป็นที่ 2 ที่ห่างจากเบอร์หนึ่งพอสมควร แต่ตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปีเราต้องเบียดเขาให้ได้ ในขณะเดียวกันบริษัทจะให้ความสำคัญในสินค้ากลุ่มพรีเมียมเพื่อสุขภาพมากขึ้นด้วย”

แฟลกชิปของแบรนด์ คือ น้ำมันปาล์มหยก ที่มียอดขายสูงถึง 85% ความท้าทายก็คือแบรนด์นี้ผู้บริโภคใช้มาตั้งแต่รุ่นคุณแม่ ดังนั้น เมื่อต้องการเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ หยกโฟกัสไปยัง “หยกเอกซ์ตร้า” เพื่อเปลี่ยนวิธีคิดว่าแทนที่จะเลือกความอร่อยอย่างเดียวให้เลือกสิ่งที่ดีขึ้นด้วย

โดยได้สร้างกิจกรรมให้เขาลองใช้ผลิตภัณฑ์ผ่านการสร้าง “คอมมูนิตี้ของกลุ่มคนที่ชื่นชอบการทำอาหาร” ดึงคนรุ่นใหม่ที่เป็น KOL Content creator มาสื่อสารและสร้างแบรนด์ผ่านออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง เป็น Micro-Influencer ที่มีคนตามแค่หลักหมื่น แต่จะเป็นเครื่องมืออันทรงพลังมาก โดยจะเอาสินค้าของเราไปใช้ให้คนเห็นจริง

“การสื่อสารผ่านเซเลบริลิตี้ หรือพรีเซนเตอร์ชื่อดังเมื่อก่อนอาจจะได้ผลแต่วันนี้อาจจะไม่ใช่ เราพยายามเกาะไปกับคนใหม่ ๆ ที่ดังขึ้นมาในโลกออนไลน์ให้ทัน เพื่อให้คนมองเราว่าเด็กขึ้น เป็นความพยายามที่ท้าทาย”

ปีที่แล้วล่ำสูงต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นในการวิเคราะห์วิจัย เพื่อค้นหาพฤติกรรมของผู้บริโภคว่าเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เพื่อปรับตัวให้ทัน

และหลังจากไม่เห็นหยกทำตลาดในช่องทาง Traditional มานาน แต่ปีนี้จะกลับมาทำในช่องทางนี้อีกครั้ง อีกไม่เกิน 2 เดือนจะเห็นชื่อหยกตามบิลบอร์ดริมถนน และตามท้องตลาดมากขึ้น

และในส่วนของออนไลน์ยังคงต้องทำในเรื่องคอมมูนิตี้คนรักการทำอาหาร เพื่อไทร์อินสินค้าอย่างต่อเนื่อง

“เรายังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของบริษัท คือ NICE ที่ครอบคลุมในมิติความยั่งยืนทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่การบริโภคที่เป็นมิตรและยั่งยืน’”

โดย N มาจาก Ensure:  มีการใช้ทรัพยากรและพลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่า, I มาจาก Innovate: คิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยระดับโลกด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง

ส่วน C มาจาก Conduct: ดำเนินธุรกิจภายใต้นโยบายการกำกับดูแลกิจการอย่างโปร่งใส และมีความรับผิดชอบ และ E มาจาก Educate: การให้และเพิ่มพูนความรู้แก่ประชาชน เพื่อให้เข้าใจและตระหนักถึงการบริโภคอย่างยั่งยืน

น้ำมันพืชหยก

ภูมิเกียรติยังย้ำว่า การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนครั้งนี้ยังจัดไปพร้อม ๆ กับงานใหญ่ครบรอบ 50 ปีของบริษัทเพื่อปลุกพลังคนทำงานให้เกิดความมั่นใจกับแนวทางการทำธุรกิจในอนาคตด้วย

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer