เศรษฐกิจของยุโรป ตอนนี้เป็นอย่างไร ทำไมจึงไม่มีแววดีขึ้นเลย
ตั้งแต่เราเขียนบทความถึงสภาพเศรษฐกิจยุโรปเมื่อครั้งที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนปะทุขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 ดูเหมือนว่ายุโรปยังแทบจะไม่มี “ข่าวดี” ด้านเศรษฐกิจเลย และใช่ครับนอกจากจะไม่มีข่าวดีแล้ว พวกเขายังอาจจะต้องเผชิญข่าวร้ายซ้ำเติมเข้าให้อีก
เมื่อหันไปทางไหนก็เจอแต่กำแพงปัญหา ทั้งเรื่องอุตสาหกรรมเด่นอย่างการผลิตรถยนต์เริ่มถูกจีนเข้ามาตีตลาด และพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวจนแซงหน้า หรือแม้กระทั่งการเสียดุลการค้าให้กับจีนจากการหลั่งไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจีน ที่ไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ถ้าใช่ยุโรปแย่แน่ นั่นก็คือการกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะเขาคนนี้จะเข้ามาเพื่อก่อกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปให้สูงจนอาจทำให้การค้าระหว่างยุโรปและอเมริกามีปัญหาได้!
ในบทความนี้เราอยากพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจแก่นของปัญหาทั้ง 3 ประเด็นที่กำลังซัดเข้าไปที่ลิ้นปี่ของเศรษฐกิจยุโรป และทำให้เศรษฐกิจยุโรปแทบจะหมดความน่าสนใจ และอาจยังไม่ฟื้น อย่างน้อยก็ในช่วงทศวรรษนี้
ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า
ในบรรดาเศรษฐกิจของทวีปต่าง ๆ เศรษฐกิจของยุโรป ดูจะไม่ใช่อะไรที่เหล่านักวิเคราะห์หรือนักลงทุนมองเห็นโอกาส (เติบโต) ที่นั่นสักเท่าไร ไม่ใช่ว่าเศรษฐกิจของยุโรปไม่ดี กลับกันเศรษฐกิจของยุโรปมีความมั่นคงสูงแต่ก็ราบเรียบ ไม่ได้หวือหวาอะไรเท่าประเทศที่มีความโดดเด่นเรื่องนวัตกรรมอย่างสหรัฐฯ หรือเศรษฐีหน้าใหม่เจ้าของโรงงานผลิตของโลกอย่างจีน หรือจะเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างอินเดีย หรือเวียดนาม
ก็คงจะดีถ้าเศรษฐกิจของยุโรปยังไปได้เรื่อย ๆ ถึงแม้ไม่หวือหวา แต่ก็ไม่ทรุดหนักถึงขั้นอยู่ปกหน้าหนึ่ง The Economist แต่ ณ วันนี้ มีหลายต่อหลายครั้งที่สื่อด้านเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง The Economist ลงข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจยุโรปอยู่บ่อยครั้ง (ใช่ครับ ทั้งหมดมักไม่ค่อยใช่ข่าวดี)
เศรษฐกิจยุโรปทุกวันนี้ดูไม่มั่นคงเหมือนเช่นแต่ก่อนแม้แต่เยอรมนี ประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแรงสุขภาพดีที่สุดของยุโรปเกิดการขาดแคลนแรงงานจนอาจส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ตัวเลขที่พิสูจน์คำกล่าวนี้ก็คือ ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปเติบโตเฉลี่ยเพียง 4% เมื่อเทียบกับตัวเลขการเติบโต 8% ของอเมริกาก็คงเทียบกันไม่ติด สาเหตุหลัก ๆ ก็เนื่องมาจากความตื่นตระหนกด้านพลังงานที่เกิดขึ้นหลังจากการรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี 2022
ถ้าเรื่องพลังงานว่าหนักแล้วสำหรับยุโรป แต่ยัง! ยุโรปยังต้องเผชิญกับการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากประเทศจีนจำนวนมาก ถึงแม้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค แต่ก็อาจเป็นอันตรายต่อผู้ผลิต และเพิ่มความขัดแย้งทางสังคมและอุตสาหกรรม และภายในหนึ่งปี โดนัลด์ ทรัมป์ อาจกลับมาที่ทำเนียบขาวอีกครั้ง โดยจะเรียกเก็บภาษีสินค้าส่งออกของยุโรปในระดับมหาศาล
สินค้าจีนทะลักทั่วโลก (ไม่เว้นแม้แต่ยุโรป)
สินค้าหลักของยุโรปอย่างหนึ่งคือการส่งออกเทคโนโลยีและส่วนเกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ เทคโนโลยียนตรกรรมของยุโรปถือว่าเอกอุไม่เป็นสองรองใคร เพราะนี่คือบ้านเกิดของ Volkswagen Porsche Mercedes Benz BMW แต่ถ้าเราจำแนกแบรนด์รถยนต์ตามประเทศผู้ผลิตก็จะเห็นภาพดังนี้
เยอรมนี
- Porsche
- BMW
- Mercedes-Benz
- Audi
- Volkswagen
- Opel
ฝรั่งเศส
- Bugatti
- DS
- Renault
- Peugeot
- Citroën
สวีเดน
- Koenigsegg
- Volvo
- Saab
- Scania
- Polestar
เอาแค่ชื่อแบรนด์รถยนต์ของเยอรมนีก็ดังไปทั่วโลกแล้ว สิ่งที่อยากจับใจความสำคัญก็คือ ในช่วงไม่กี่ปีนับต่อจากนี้โลกเราจะเข้าใกล้กับคำว่า “Green Globe” หรือว่า โลกสีเขียวมากขึ้น หนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนนโยบายนี้ให้เกิดขึ้นได้จริงก็คือ การเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล มาเป็นพลังงานไฟฟ้า
เรื่องนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะยุโรปเองก็ประกาศชัดเจนว่าภายในปี 2030 รถทุกคันที่วิ่งในถนนของประเทศผู้นำในชาติยุโรป ยกตัวอย่างเช่น เยอรมนี จะต้องเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% นั่นแปลว่าทุกค่ายรถยนต์ต้องมีการเตรียมการวางแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ตามต้องการอยู่แล้ว ดังนั้น เรื่องการเปลี่ยนรถในบ้านจึงไม่น่าจะเป็นปัญหา
แต่ที่ดูจะเป็นปัญหาก็คือ พวกค่ายรถยนต์คงไม่ผลิตมาขายแค่ในยุโรป เพราะอาจจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุนเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ดังนั้น การผลิตไปสู่ระดับ Global Mass Prodution จึงเป็นเรื่องสำคัญ
แต่อย่างที่ทราบถ้านับแค่ในไทยบนท้องถนนเราจะเห็นแต่รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนวิ่งเต็มถนนไปหมด ไม่ว่าจะเป็น BYD, Ora Goodcat, Neta, MG เหตุผลคือจีนทำรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่คนเอื้อมถึง ไม่เว้นแม้แต่ในยุโรปที่สินค้าจากจีนประเภทรถยนต์ไฟฟ้าเข้าไปหยามประเทศบ้านเกิดของรถยนต์ระดับโลกอย่างเยอรมนี
สถิติมูลค่าการส่งออกสินค้าจากจีนไปยังทวีปยุโรปกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ: Statista
ทีนี้จะบอกว่าผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปกำลังต้องเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรคหลายอย่างในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแข่งกับจีน ไม่ว่าจะเป็น
กำลังซื้อ ความสามารถในการจ่ายยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับคนยุโรป (ไม่ต่างจากเอเชีย) ในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาสูงยังไม่สามารถเข้ามาตีตลาดยุโรปได้สำเร็จ และคนยุโรปจำนวนมากก็ยังไม่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเหตุผลด้านราคา หรือถ้าพวกเขาจะซื้อก็อาจจะเป็นรถ EV ของจีนที่นำเสนอทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า
ขาดกลยุทธ์อุตสาหกรรมแบบองค์รวม ยุโรปขาดกลยุทธ์ทางอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งในการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต่างจากจีนที่รัฐบาลอุดหนุนเต็มที่ และหวังให้ผู้ผลิตรถยนต์ดันสินค้าออกไปโตที่ต่างประเทศด้วย พูดถึงแนวทางการกำกับดูแลนโยบายอุตสาหกรรมของสหภาพยุโรป พวกเขาจะมุ่งเน้นไปที่ขั้นตอนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานมากกว่าการโฟกัสไปที่องค์รวม ทำให้การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของยุโรปมีความเสี่ยงที่จะถูกกัดเซาะ ในทางตรงกันข้าม จีนมีนโยบายเชิงกลยุทธ์และองค์รวมที่ครอบคลุมแง่มุมต่าง ๆ ของวงจรชีวิตของรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ผู้ผลิตในจีนได้เปรียบในการแข่งขันเหนือผู้ผลิตในยุโรป
โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ ความพร้อมใช้งานและการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จก่อให้เกิดความท้าทายสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรป จุดชาร์จสาธารณะไม่เพียงพอ โดยเฉพาะรถบรรทุกไฟฟ้า ขัดขวางการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป การขาดโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะสำหรับการชาร์จรถบรรทุกเป็นอุปสรรคสำคัญที่ผู้ผลิตในยุโรปจำเป็นต้องแก้ไขเพื่อแข่งขันอย่างมีประสิทธิผลกับคู่ค้าของจีน
แบตเตอรี่ หัวใจหลักของรถยนต์ไฟฟ้า ก็คือ แบตเตอรี่ ที่เป็นแหล่งพลังงานหลักทำให้รถวิ่งไปไหนมาไหนได้และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของแบตเตอรี่ต้นน้ำในยุโรปไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่มากพอในส่วนนี้ได้ ส่งผลให้เกิดการนำไปสู่การพึ่งพาแบตเตอรี่ของจีนอย่างต่อเนื่อง
ถ้าถามว่าตอนนี้แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าไหนของจีนที่สามารถจะก้าวขึ้นมาท้าทายแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ายุโรปได้และเป็นภัยคุกคามต่อการแข่งขันกับผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปก็คือ MG แม้ MG จะค่อนข้างไม่เป็นที่รู้จักในยุโรป แต่ MG ก็กลายเป็นผู้นำในด้านยอดขายอย่างน่าประหลาดใจในตลาด EV ของยุโรป
ด้วยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นราคาไม่แพงและแข่งขันได้ เช่น MG4 และ MG ZS EV โดย MG ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีประวัติอันยาวนานที่มีต้นกำเนิดในสหราชอาณาจักร แต่ปัจจุบันมีเจ้าของเป็น SAIC Motor ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของจีน กลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาด EV ของยุโรป โดยมียอดขายเหนือกว่าแบรนด์ในยุโรปที่มีชื่อเสียง เช่น Volkswagen ในบางกลุ่ม ความสำเร็จของเอ็มจีในยุโรปไม่เพียงมาจากราคาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ด้วย ซึ่งช่วยเอาชนะความท้าทายในการจดจำแบรนด์ในระดับต่ำที่ผู้ผลิตรถยนต์จีนหลายรายในยุโรปต้องเผชิญ
MG ZS EV รถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยมในยุโรป: Electrifying
นอกจากนี้ นโยบายทางการค้าที่ดูเหมือนว่ายุโรปจะทำได้ไม่ดีเท่าจีนกำลังกลายเป็นหอกสำคัญที่ทิ่มแทงให้ยุโรปเจ็บตัวจากเรื่องการค้า เหตุการณ์น่าตกใจครั้งแรกของจีนเกิดขึ้นในปี 2001 เมื่อจีนเข้าเป็นสมาชิกของ WTO และได้รับผลประโยชน์จากการกีดกันทางการค้าที่ “ลดลง” ก่อให้เกิดความท้าทายต่อกลุ่มผู้ผลิตในฝั่งตะวันตกและอเมริกา
แม้ว่าในตอนนี้จีนกำลังมุ่งหน้าสู่การเป็นผู้ผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อตอบสนองต่อมิติใหม่ด้านเศรษฐกิจ อย่างที่ สี จิ้นผิง ผู้นำของจีนต้องการสร้างความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีในภาคส่วนที่เขาเห็นว่าจำเป็นต่อความเข้มแข็งของประเทศ อย่างเช่น หุ่นยนต์อุตสาหกรรม ชิป อุปกรณ์สำหรับรถไฟ
จีนในวันข้างหน้ามีเป้าหมายที่จะ “ลดการพึ่งพาปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศ” พวกเขาจะซื้อรถยนต์ยี่ห้อยุโรปหรือญี่ปุ่นน้อยลง ซื้อเครื่องจักรน้อยลง และอุปกรณ์ไฮเทคน้อยลง เรียกได้ว่าสินค้าทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่มีต้นกำเนิดมาจากอเมริกาและยุโรปแทบทั้งสิ้น นั่นแปลว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่จีนสามารถพึ่งพาตัวเองได้แบบเต็มสเกล เมื่อนั้นการส่งออกสินค้าจากยุโรปไปจีนย่อมลดลงแน่อน
นอกจากนี้ บริษัทในยุโรปยังต้องเผชิญกับการแข่งขันของจีนในตลาดทางอ้อม ทั้งในประเทศตัวเอง (ยุโรปเอง) และในประเทศที่สาม ยกตัวอย่างสินค้ากลุ่มรถยนต์ ซึ่งถือเป็นเพชรเม็ดเอกของอุตสาหกรรมยุโรป ถ้านับเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างเดียว มีแรงงานชาวยุโรปทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมถึงกว่า 3 ล้านคน
ตามข้อมูลพบว่าตลาดแบตเตอรี่บริสุทธิ์ในยุโรปตะวันตกมีสัดส่วนแบรนด์จีนถึง 9% ของการจดทะเบียนรถยนต์อุปโภคบริโภคแบรนด์จีนใหม่ทั่วทั้งทวีปเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าระหว่างปี 2021 ถึง 2022 อีกทั้งแบรนด์รถยนต์ในตลาดแมสของฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี ดูเหมือนจะมีความเสี่ยงในการแข่งขันมากเป็นพิเศษ นักวิเคราะห์จากธนาคาร UBS คาดว่าส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกของผู้ผลิตรถยนต์ “แบรนด์ดั้งเดิม” จะลดลงจากการครองส่วนแบ่งตลาดที่ 81% ลงเหลือ 58% ภายในปี 2030
ต้นทุนการลดความเสี่ยงของยุโรปจะมากขึ้นอีกหากทรัมป์กลับมาชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ และนโยบายทางภาษีรูปแบบใหม่ที่ทรัมป์จะนำกลับมาด้วยถือเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับผู้ส่งออกของยุโรป
หรือทรัมป์จะกลับมา?
ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์สามารถกลับมาชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปลายปีนี้ได้ยุโรปอาจได้รับผลกระทบ: Politico
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 การเลือกตั้งในครั้งนี้ผู้นำหรือผู้กำหนดนโยบายทางการเงินฝั่งยุโรปจับตามองเป็นอย่างมาก ทำไมเป็นแบบนั้น
เหตุผลเพราะว่าจริงอยู่ที่ทุก ๆ ประเทศก็ต้องติดตามสถานการณ์ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำของมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกอย่างอเมริกา แต่ยุโรปเคยมีบทเรียนกับเรื่องนี้มาแล้ว และพวกเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายชาตินิยมของทรัมป์ในสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของอเมริกานั้น คือการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า และนั่นส่งผลกระทบต่อการส่งออกของยุโรปทันที
ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี นโยบายสำคัญเรื่องหนึ่งที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการส่งออกของสหภาพยุโรปเลย ก็คือการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม การกำหนดอัตราภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นสำหรับสินค้าเหล่านี้เป็นไปด้วยเหตุผลที่ทรัมป์บอกว่าทำไปด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ
และนำไปสู่มาตรการตอบโต้โดยสหภาพยุโรป ทำให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์จากสหภาพยุโรปสูงถึง 25% ทำให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพยุโรป
สหภาพยุโรปโดยเฉพาะประเทศเยอรมนี ซึ่งมีภาคส่วนการผลิตรถยนต์ที่สำคัญ จะได้รับผลกระทบเป็นพิเศษจากอัตราภาษีรถยนต์ที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้ ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ มีแนวโน้มส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงต่อการส่งออกของยุโรปและเศรษฐกิจโดยรวมของสหภาพยุโรป
สถาบันเศรษฐกิจเยอรมนี (The German Economic Institute) ประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้วคนที่ได้รับเลือกคือ “โดนัลด์ ทรัมป์” สมมุติว่าจู่ ๆ อเมริกากำหนดภาษีนำเข้า อยู่ที่ 10% เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในบ้านเกิดของตัวเอง เศรษฐกิจของอเมริกาเองก็ได้รับผลกระทบเงินเฟ้อหนักอยู่แล้ว แต่เศรษฐกิจของยุโรปจะได้รับผลกระทบมากกว่า เมื่อการส่งออกทั้งหมดของเยอรมนีจะลดลงเกือบ 5% ภายในปี 2028 เมื่อเทียบกับการส่งออกไปยังประเทศที่ไม่มีกำแพงภาษีศุลกากร
เมื่อทำโปรเจกชั่นเรื่องผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ทางสถาบันเศรษฐกิจเยอรมนีประเมินว่า GDP ของเยอรมนีอาจจะลดลง 1.2% ซึ่งเทียบเท่ากับการสูญเสียผลผลิตมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านยูโรภายในปี 2028 เพราะฝั่งเยอรมนีก็เชื่อว่าถ้าทรัมป์กลับมา ทรัมป์ก็จะยังคงนโยบายเรื่องภาษีนำเข้าไว้อยู่ ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการตอบโต้ยุโรปในภาษีบริการดิจิทัลที่กำหนดเป้าหมายไปที่บริษัทสัญชาติอเมริกัน
ทั้งหมดคือภาพรวม เศรษฐกิจของยุโรป ที่เรียกได้ว่าเผชิญศึกรอบทิศ มีศัตรูรอบตัว เมื่อประเทศผู้นำอย่างเยอรมนียังไม่สามารถกอบกู้ตัวเองให้พ้นจากหลุมดำทางเศรษฐกิจได้ ประเทศเพื่อนพ้องในยุโรปก็ลำบาก
ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าในช่วงสิ้นปีนี้สหรัฐฯ กำลังจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 47 จะยังคงเป็นโจ ไบเดนที่มีสัมพันธ์อันดีกับยุโรปอยู่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ ก็ต้องบอกเลยว่ายุโรปต้องคิดในตอนนี้แล้ว ถ้ากรณีแย่สุดเป็นทรัมป์ที่ได้กลับมาพวกเขาจะทำอย่างไร
แล้วนโยบายทางการค้าที่จะออกมาเพื่อกีดกันสินค้าจากจีนที่ทะลักไปทั่วโลกนั้นจะเป็นอย่างไร จะใช้มาตรการไหน รวมไปถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วภูมิภาคสร้างเงิน สร้างงานจะเอาอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม หากสนใจสามารถติดตามอ่านได้จากที่นี่ที่เดียว Marketeeronline ♦
เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ
อ้างอิง
https://www.economist.com/leaders/2024/03/27/the-triple-shock-facing-europes-economy
https://www.technologyreview.com/2023/09/27/1080330/europe-ev-surprising-leader-mg/
https://www.consilium.europa.eu/en/infographics/eu-measures-to-cut-down-energy-bills/
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
