เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ทำไมจึงเป็น Out Of Home Entertainment โรงภาพยนตร์อันดับ 1 ในใจผู้บริโภค
การชมภาพยนตร์ คือ ความสุขขั้นพื้นฐานที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และชื่อของ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” ก็รักษาตำแหน่งผู้นำ Out Of Home Entertainment โรงภาพยนตร์อันดับ 1 ในใจผู้บริโภค ที่สร้างความสุขผ่านภาพยนตร์ให้แก่คนไทยมาตลอดต่อเนื่อง การันตีด้วยรางวัล Marketeer No.1 Brand in Thailand 2024
ในวันที่คอนเทนต์หลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมีภาพยนตร์นำเสนอมากมายเลือกได้เพียงปลายนิ้ว แต่คนยังคงมาดูหนังในโรงภาพยนตร์อยู่ต่อเนื่อง
เมเจอร์เอาชนะทุกการดิสรัปต์ได้อย่างไร
นรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้หนังไทยคือฮีโร่ของโรงภาพยนตร์ โดยช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ หนังไทยกวาดส่วนแบ่งไปมากกว่า 55% สูงเป็นประวัติการณ์ และคาดว่าสิ้นปีนี้หนังไทยจะสามารถทำยอดจำหน่ายตั๋วหนังได้มากถึง 16 ล้านใบ ซึ่งโมเมนตัมของหนังไทยเริ่มดีเรื่อย ๆ มานับแต่ตอนช่วง 2019
โดยที่ก่อนหน้านั้นส่วนแบ่งวิ่งอยู่ 10-25% เท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมเผชิญทั้งโควิด ประกอบกับปรากฏการณ์ Writers Actor Strike การผลิตหนังจึงล่าช้าออกไป เกิดเป็นสุญญากาศหนังฮอลลีวูด ทำให้ Local Content ได้รับโอกาสสูง ไม่เพียงแต่หนังไทย แต่ในจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ที่มี Local Content แข็งแกร่ง ก็เป็นปีทองของหนัง Local ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังส่งออกนอกประเทศมาแทนที่ส่วนของฮอลลีวูดที่ขาดหายไป
ซึ่งในปีหน้าหนังฮอลลีวูดจะกลับมาเต็มสูบ แทบจะจ่อคิวทุกสัปดาห์ อย่างน้อยหนังใหญ่ราว 40 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นหนังภาคต่อ อาทิ Fast10 (Part 2), Avatar3, Mission Impossible 8 (Part 2), Captain American, Fantastic 4, Thunderbolts, SnowWhite, Jurassic World 4, Blade, Tron, Animal Farm เป็นต้น จะทำให้ส่วนแบ่งรายได้กลับมาอยู่ที่ครึ่งต่อครึ่ง
ประกอบกับอุตสาหกรรมหนังไทยกลับมาเฉิดฉายได้ เนื่องมาจากปริมาณที่เข้าฉายอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีหน้าจะมีหนังไทยมากถึง 52 เรื่อง และคุณภาพหนังที่ดีขึ้น ผู้ชมจึงหันกลับมาชมหนังไทยเพิ่มขึ้น ช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมหนังไทย Tollywood ให้แข็งแรง แข่งขันกับ Hollywood หรือแม้กระทั่ง Bollywood ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
โดยเฉพาะในโซนต่างจังหวัดที่หนังไทยจะได้รับความนิยมจากผู้ชมมากกว่าหนังต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่แล้วเกินกว่า 70-80% จะบริโภคหนังไทยเป็นหลัก จึงเป็นเหตุผลที่เมเจอร์พยายามขยายสาขาในต่างจังหวัด เพราะเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายใหญ่ ซึ่งรายได้ในต่างจังหวัดแซงหน้ากรุงเทพฯ ขึ้นมาอยู่ที่ 60% จากเดิมอยู่ที่ครึ่งต่อครึ่ง
โจทย์คือการเสิร์ฟหนังไทยให้เพียงพอ และตรงกับความต้องการของลูกค้า การจะทำให้หนังไทยทำรายได้ทะลุร้อยล้านจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
อย่างในปีนี้เมเจอร์มีหนังไทยเข้าฉายและทำรายได้ผ่าน 100 ล้านไปแล้วหลายเรื่อง ประกอบด้วย หลานม่า, อนงค์, หอแต๋วแตก, เทอม 3, พี่นาค 4 ซึ่งหลังจากนี้จะยังคงมีหนังไทยทยอยเข้าฉายต่อเนื่อง ทั้งผลงานของจีดีเอช อย่าง “วิมานหนาม” และผลงานร่วมกับช่อง 3 เช่น “มานะแมน” และ “ธี่หยด 2”
การที่หนังไทยทำรายได้ผ่านร้อยล้านส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโดยรวม เนื่องจากนักลงทุนเล็งเห็นกำไรในการทุ่มทุนสร้าง เพราะมีโรงภาพยนตร์คอยรองรับมากมาย อีกทั้งหนังหนึ่งเรื่องสามารถหารายได้ต่อด้วยการขายสิทธิ์สตรีมมิ่ง หลังจากฉายในโรงภาพยนตร์เสร็จ ซึ่งรายได้จากสตรีมมิ่งมากพอที่จะเป็นทุนต่อยอดให้สามารถสร้างหนังเรื่องต่อไปได้อีก จะได้เห็นผู้สร้างหนังไทยหน้าใหม่เพิ่มขึ้น จากที่เดิมมีเพียงไม่กี่ชื่อในตลาด ซึ่งทั้ง GDH, เนรมิตหนัง ฟิล์ม,กันตนา ผู้เล่าเก่าก็จะกลับมาสร้างหนังไทยเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ส่งผลให้อีโคซิสเท็มในภาพรวมแข็งแกร่งขึ้น มีพลังมากพอส่งออกไปต่างประเทศ อันเป็นตลาดที่กว้างและมีโอกาสรออยู่มากมาย โดยเฉพาะตลาดอาเซียน ที่ไทยมีความสามารถแข่งขันเป็นทุนเดิม ประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ชื่นชอบวัฒนธรรมไทย และเสพละครไทยอยู่ก่อนแล้ว ยกตัวอย่าง “หลานม่า” สร้างรายได้ในประเทศไทย 320 ล้านบาท แต่กลับไปกวาดรายได้จากต่างประเทศไปแล้วกว่า 1,200 ล้าน และล่าสุดในประเทศจีนไปกว่า 400 ล้าน
ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่มีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมหนังไทย คือ หนังรีจินอลฟิล์มหรือหนังภูมิภาคที่พูดภาษาท้องถิ่นมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งหนังกลุ่มนี้ได้รับการตอบรับจากคนต่างจังหวัดมากที่สุด เพราะมีดีเทลในเรื่องภาษา วัฒนธรรม ที่เข้าใจได้ง่าย และใกล้เคียงกับผู้ชมมากกว่า แต่ละภาคจะมีหนังสำหรับกลุ่มผู้ชมภูมิภาคนั้น ๆ ไม่เพียงหนังแมสที่ทำมาแบบ Fits for all เพียงอย่างเดียว
โมเมนตัมที่ดีของทั้ง Tollywood และ Hollywood จะช่วยเกื้อกูลธุรกิจโรงภาพยนตร์ในภาพรวม เนื่องจากหนังไทยจะตอบโจทย์โรงหนังต่างจังหวัด ขณะที่หนังฮอลลีวูดตอบโจทย์สาขากรุงเทพฯ ผู้ชมจะตบเท้าเข้าชมหนังในโรงมากขึ้น และปริมาณหนังที่จ่อคิวฉายถี่ จะทำให้ปีหน้าธุรกิจโรงภาพยนตร์จะคึกคักเป็นพิเศษ คาดว่าปีหน้าจะมียอดจำหน่ายตั๋วหนังมากถึง 40 ล้านใบ โดยแบ่งเป็นหนังไทย 20 ล้านใบ และหนัง Hollywood 20 ล้านใบ
นับแต่ปี 2019 เป็นช่วงพีคของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ตั้งแต่เปิดให้บริการเมเจอร์มาเลย แม้ในปี 2024 จะยังไม่กลับมาครอบคลุมทั้งหมด อยู่ที่ราว 80-90% แต่ในปีหน้าจะถึง 100% ได้ไม่ยาก เนื่องจากทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น หนังฟอร์มยักษ์ทยอยกลับมา
แม้จะมีสตรีมมิ่งเข้ามา แต่คนยังคงเข้าโรงภาพยนตร์ไม่ต่างไปจากเดิม ตราบใดที่คนยังใช้ชีวิตนอกบ้าน โรงภาพยนตร์จะยังคงเป็น Out Of Home Entertainment ที่คนนึกถึงตลอดเวลา เพราะได้รับประสบการณ์และอรรถรสต่างจากการดูที่บ้าน
หนังคือความบันเทิงขั้นพื้นฐานที่เข้าถึงได้ง่าย
ภาพยนตร์เป็นเอนเตอร์เทนเมนต์ที่ไม่แปรผันตรงกับเศรษฐกิจนัก เพราะไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดคนยังต้องพึ่งพาการเติมความสุขให้ตนเอง App Major Cineplex มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า M Coupon สำหรับเสนอคูปองลดพิเศษที่สอดคล้องตามรสนิยมการดูหนัง รวมถึงสาขาและช่วงเวลาที่รับชมบ่อย โดยลูกค้าสามารถซื้อตั๋วหนังราคาถูกด้วย M Coupon ได้ตลอดเวลา เช่น คูปองดูหนังเริ่มต้นเพียง 69 บาท ถือเป็นความบันเทิงที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย (Affordable Entertainment)
ระบบหลังบ้านต้องเสถียรและรัดกุม
Customer Journey ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทุกอย่างพึ่งพาออนไลน์ ซื้อตั๋วชมภาพยนตร์ก็ทำผ่านออนไลน์ถึง 40% และคาดว่าจะสามารถเติบโตไปได้ถึง 70-80% ในปีหน้า เป็นเหตุผลให้เมเจอร์ต้องเตรียมระบบหลังบ้านให้เสถียร เพื่อรองรับการใช้บริการจากลูกค้าจำนวนมาก โดยได้เปลี่ยนเป็นระบบ Cloud ซึ่งปรับเปลี่ยนสเกลในการรับผู้ใช้งานตามปริมาณลูกค้า ณ ขณะนั้น ได้อัตโนมัติ แม้มีจำนวนลูกค้าเข้าซื้อตั๋วพร้อมกันมหาศาล แต่ระบบจะไม่หน่วง ซึ่งถ้าช่วงเวลานั้นคนน้อย Cloud ก็จะลดสเกลลงอัตโนมัติ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและให้บริการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ไข Key Success อะไรคือสิ่งที่ทำให้เมเจอร์กลายเป็นเบอร์หนึ่งใน Out Of Home Entertainment
1. Customer Happiness
นับเป็นกุญแจชิ้นสำคัญที่ทำให้เมเจอร์ยืนหยัดเป็นแบรนด์อันดับหนึ่ง ในตลาดได้อย่างยั่งยืน การยึดความสุขของลูกค้าเป็นที่ตั้ง ทำให้เมเจอร์นำฟีดแบ็กของลูกค้ามาพัฒนาการบริการ เริ่มไปตั้งแต่ช่องทางการซื้อตั๋วหนังที่หลากหลาย, Smart Gate ตรวจตั๋วหนังโดยไม่ต้องมีพนักงาน, บริการเสิร์ฟป๊อปคอร์นถึงที่นั่ง ฯลฯ
นอกจากนั้น ยังเป็นมากกว่าโรงหนัง ด้วยการทำ Naming Sponsor ที่เป็นแบรนด์ Partnership ที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเดินเข้าโรงหนัง เช่น คอนเซ็ปต์ Co-Life Space ร่วมกับกรุงศรี ให้ลูกค้ามานั่งทำงานฟรี หรือมี EV Charger, ลานวิ่งสกายวอล์กออกกําลังกายฟรี, หนังฉายรอบดึกหลังเที่ยงคืน เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง รองรับลูกค้าไลฟ์สไตล์ใช้ชีวิตกลางคืน เพื่อสร้างความสุขคืนแก่ลูกค้า
2. Focus on Core
ทำในสิ่งที่เมเจอร์ถนัด พัฒนา Product โรงหนังให้แข็งแรง อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสบายที่สุด ทุกอย่างทยอยปรับเป็น Cashless 100% ทั้งหมด ลูกค้ามองหาสิ่งใดต้องพร้อมเสิร์ฟ อาทิ หนังคอนเสิร์ต
หรือคอนเสิร์ตที่ฉายในโรงแบบไลฟ์สตรีมมิ่ง ที่กำลังเป็นที่นิยม ก็มีฉายในเมเจอร์ด้วยเช่นกัน นับเป็น Product ใหม่ ๆ ที่เมเจอร์พยายามพัฒนาเพื่อสร้างความแตกต่างให้ตนเป็น ‘More Than Cinema’
ล่าสุดกับโมเดล Kids Cinema จับกลุ่มลูกค้า Kids and Family เปิดให้บริการในวันเสาร์-อาทิตย์ สร้างบรรยากาศโดยการจำลองสนามเด็กเล่นในโรงภาพยนตร์ พร้อม Kid Lounge ที่สามารถจัดกิจกรรมเช่น เบิร์ธเดย์ปาร์ตี้ได้ด้วย
ตั้งเป้าขยายครบ 40 สาขาในปีหน้า โดยล่าสุดได้เปิดเพิ่มที่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สาขาเซ็นทรัลเชียงใหม่ ทั้งนี้เพื่อสร้างแบรนด์เลิฟกับลูกค้าตั้งแต่วัยเด็ก ให้เติบโตไปกับเมเจอร์ อีกทั้งสร้าง Movie Culture ในการรับชมภาพยนตร์ในโรง

เป็นเบอร์หนึ่งว่ายากแล้ว รักษาไว้ยิ่งยากกว่า
คุณนรุตม์กล่าวว่า การที่เมเจอร์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้ ประกอบขึ้นจากกลยุทธ์ที่รัดกุม อันได้แก่
1. Customer Insight
เมเจอร์ไม่หยุดยั้งในการทำเซอร์เวย์ ศึกษาพฤติกรรมลูกค้า เพื่อปรับตัวตลอดเวลา ทั้งการรีโนเวต อัปเกรดระบบใหม่ พัฒนาจอฉาย ทั้งหมดล้วนมาจากการฟังเสียงลูกค้า ผ่าน Loyalty Program บน Application Major ที่มีผู้เข้าใช้บริการ 3 ล้านคนต่อเดือน ในการสะสมดาต้าและศึกษาพฤติกรรมของลูกค้า ด้วย Machine Learning
ตัวอย่างเช่น ระบบ Subscription ในชื่อ “M Pass” ที่มีผู้ใช้งานอยู่ราว 500,000 คน สำหรับลูกค้าที่เป็น Heavy User รับชมภาพยนตร์ได้ไม่จำกัด เหมาจ่ายเป็นรายปี ซึ่งส่วนใหญ่ผู้เป็นสมาชิกจะเข้าโรงภาพยนตร์ถี่ประมาณ 3 เรื่องต่อเดือน และจะยังเติบโตไปได้มากกว่านี้ในอนาคต เป็นฐานดาต้าชั้นดีให้กับเมเจอร์
2. Convenience
ทำอย่างไรให้ลูกค้าสะดวกสบายที่สุด ลื่นไหลทุกทัชพอยต์ เมเจอร์ยังได้พัฒนาระบบใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า “Self Ordering Kiosk-SOK” จากเดิมที่ลูกค้าต้องต่อคิวยาวเพื่อรอสั่งพนักงาน ระบบนี้จะเข้ามาปฏิวัติให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อป๊อปคอร์น เครื่องดื่ม และจ่ายเงิน ทุกขั้นตอนจบบนแท็บเล็ตได้เลย
เฟสถัดไปที่กําลังพัฒนาคือการสั่งสินค้าถึงในโรงหนังผ่านคิวอาร์โค้ด แล้วพนักงานเสิร์ฟให้ถึงที่นั่ง รวมถึงการสร้างประสบการณ์ใหม่ผ่านการทำ Movie Marketing ยกตัวอย่าง การทำจุดถ่ายรูป กิจกรรมหน้าโรง คาแรกเตอร์ตัวละครบนสินค้า เพื่อสร้างบรรยากาศโดยรวมให้การมาที่โรงภาพยนตร์พิเศษมากกว่าแค่มาชมหนังแล้วจบไป
3. Content
สุดท้าย คือ คอนเทนต์ที่หลากหลาย เมเจอร์มีหนังทางเลือกหลากหลายไม่จำกัดเพียงฮอลลีวูดเท่านั้น
แต่ยังมีจีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลี รวมถึงหนังไทยที่คุณภาพพัฒนาขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งโรงภาพยนตร์กับค่ายภาพยนตร์ต้องทำงานร่วมกัน ในปีนี้กระแส Asia Movie โดยเฉพาะหนังอินโดนีเซีย จะมาแรงมาก อย่างในเมเจอร์ฯ ที่ประเทศกัมพูชา หนังอินโดนีเซียมีส่วนแบ่งมากถึง 20%
หนังไทยมี Creativity ดีอยู่แล้ว สามารถสู้กับหนัง Hollywood ได้ หนังไทยโดยเฉพาะประเภทหนังผี หนัง Horror จะขายดีในประเทศเพื่อนบ้านมาก โดยที่คอนเทนต์ไทยสามารถต่อยอด Cross border ได้ประกอบกับหากได้รับแรงสนับสนุนจากภาครัฐ ผลักดันอาชีพอันเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมนี้เช่นเกาหลีที่ขับเคลื่อนไปทั้งองคาพยพ จะเป็นไทม์มิ่งที่ดีของ Tollywood
Next Step ก้าวต่อไปที่ไม่หยุดยั้งของ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์
อย่างแรกคือการเดินหน้าหารายได้จากโปรดักส์ที่มีอยู่ในมือ ส่งออกป๊อปคอร์นซึ่งเป็นโปรดักส์ที่เมเจอร์มีชื่อเสียงอยู่แล้วขายนอกโรงภาพยนตร์ ทั้งในร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต เอาท์เล็ต แกร็บ ไลน์แมน และตู้คีออสที่จะกลายมาเป็นบิสิเนสโมเดลใหม่
และเริ่มตั้งแต่ปีหน้าลูกค้าของเมเจอร์ต้องสามารถซื้อตั๋วออนไลน์ได้ 100% ทุกอย่างเชื่อมต่อกันแบบ Seamless ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและออนไลน์เต็มรูปแบบ เป็น One-Stop Service
ไม่เพียงเท่านั้น เมเจอร์ยังไม่หยุดนำเทคโนโลยีการฉายรูปแบบใหม่เข้ามา จากที่มีตอนนี้คือ Screen X, 4DX, LED Cinema และ IMAX With laser ที่เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการสนับสนุนหนังไทยออกฉายต่างประเทศ ด้วยจำนวนที่มีอยู่มากกว่า 1,500 จอทั่วโลก หนังไทยสามารถฉายผ่านไอแมกซ์ทั่วโลกได้ เปิดโอกาสและขยายตลาดใหม่ ๆ
นอกจากนี้ ยังได้จับมือกับพันธมิตร ทั้ง ช่อง 3, เวิร์คพอยท์, ช่อง 7, โมโน 29 เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมทั้งห่วงโซ่ ปลายปีนี้ “ธี่หยด 2” ที่เมเจอร์ร่วมมือกับช่อง 3 คาดว่าจะสร้างรายได้ในประเทศถึงพันล้านได้ เพราะเป็นหนังภาคต่อที่ทุกคนรอคอย ปีนี้หนังไทยทุนสร้างของเมเจอร์มีอยู่ราว 10 – 12 เรื่อง แต่ในปีหน้าคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวประมาณ 24 เรื่อง
พร้อมทั้งเร่งขยายโรงภาพยนตร์เพิ่มในต่างจังหวัดให้ครอบคลุมทุกจังหวัด เตรียมขยายจอเพิ่ม 50 จอ ในอีก 10 กว่าสาขา เพื่อเป้าหมาย 1,200 จอภายใน 5 ปีข้างหน้า
สุดท้ายงานใหญ่ปลายปี 9 – 12 ธันวาคมนี้ เมเจอร์จะเป็นเจ้าภาพจัดงาน CineAsia งานใหญ่ที่สุดของภูมิภาคอาเซียนเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน รวมผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ทั่วเอเชีย จากทุกค่ายใหญ่ อาทิ Fox, Disney, Sony, UIP, Warner มาประชุมและเจรจาธุรกิจ ณ ไอคอนสยาม
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
