ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ในประเทศไทยแม้เป็นตลาดที่ใหญ่ ใครต่อใครก็อยากกระโดดเข้ามาในธุรกิจนี้ แต่การจะอยู่รอดได้กลับไม่ใช่เรื่องง่าย เกมการแข่งขันของธุรกิจขนส่งไม่ต่างจากธุรกิจการแข่งขันสูงอื่น ๆ ที่ผู้เล่นเลือกจะเผาเงิน อัดโปรโมชั่นลดกระหน่ำเพื่อดึงลูกค้าเข้ามาในแพลตฟอร์ม จนสุดท้ายทำให้เน็ตเวิร์กที่มีอยู่ไม่สามารถรับไหว เกิดปัญหาพัสดุล้น ส่งไม่ทันเวลา ทรัพย์สินของลูกค้าเสียหาย
แต่ท่ามกลางยักษ์ใหญ่ขนส่งที่กำลังขาดทุน บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ผู้ครองตำแหน่งเบอร์หนึ่งธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 27% เปิดรายได้สามไตรมาส ปี 2567 รายได้รวม 15,858.67 ล้านบาท
ดร. ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ธุรกิจที่มีสัดส่วนรายได้มากที่สุดมาจากกลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ 46.48% ซึ่งเติบโตจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ราว 3.34% กลุ่มบริการไปรษณียภัณฑ์ 34.54% กลุ่มบริการระหว่างประเทศ 12.14% กลุ่มบริการค้าปลีกและการเงิน 4.48% กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ 0.85% และรายได้อื่น ๆ 1.15%
สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น ค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ และปริมาณงานธุรกิจขนส่งในประเทศ 2567 บริการพัสดุไปรษณีย์ในประเทศเติบโตที่ 18.45% ขณะที่บริการไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) เติบโตราว 8.07% อีกทั้งผลสำรวจความเชื่อมั่นในแบรนด์ไปรษณีย์ไทย 2567 สูงถึง 91.87%
อย่างไรก็ตาม ไปรษณีย์ไทยมองว่าแบรนด์ยังไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่และทันสมัยเท่าที่ควร จึงประกาศเตรียมรีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่ เพื่อทำให้ไปรษณีย์ไทยเป็นมากกว่าแบรนด์ขนส่ง แต่เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันเพื่อสร้างความจงรักภักดีกับผู้บริโภค
เริ่มด้วยการโฟกัสการขยาย POST Café ร้านคาเฟ่เครื่องดื่มภายใต้ภาพลักษณ์ของไปรษณีย์ไทย เป็นพื้นที่ Cups of Connection ให้ทุกคนได้มาพบปะ และทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ สร้างความสัมพันธ์กับผู้ใช้บริการ โดยเตรียมเปิดแฟรนไชส์ POST Café เพื่อให้ไปรษณีย์เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของลูกค้า
พร้อมปั้นธุรกิจรีเทลซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ซึ่งกลุ่มธุรกิจรีเทลมีรายได้ 600 ล้านบาท ตั้งเป้าโตต่อ 10% ซึ่งมีสินค้า House brand ของตนเอง ที่อยู่ในกลุ่ม FMCG อยู่ทั้งหมด 3 SKUs และสินค้าตัวถัดไปจะอยู่ในกลุ่มอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุที่จะเข้ามาเติมพอร์ตโฟลิโอสินค้าให้หลากหลาย
ดร. ดนันท์ กล่าวเสริมว่า อีกธุรกิจหนึ่งที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี คือ กลุ่มธุรกิจขนส่งแบบเย็น สำหรับไปรษณีย์การขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิให้บริการในพื้นที่สุราษฎ์ธานี นครศรีธรรมราช และนนทบุรี มีการเติบโต 28%
ไปรษณีย์ไทยมีอินไซต์พฤติกรรมของคนในประเทศ มีโครงข่ายทางการขนส่งที่รองรับการให้บริการลูกค้าอย่างครอบคลุม ซึ่งไปรษณีย์ไทยมีจุด Drop points มากกว่า 50,000 สาขา และบุรุษไปรษณีย์ 25,000 คน ยังคงมุ่งเน้นใช้ประโยชน์จากเครือข่ายทั้ง Physical และ Digital ส่งผลให้มีบริการขนส่งที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศอย่างครบวงจร บริการทางการเงิน การส่งเสริมค้าปลีก การพัฒนาและสร้างธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกค้า
นอกจากนี้ ยังคงเดินหน้าเพิ่มมูลค่า สร้างความแตกต่าง ด้วยการขยายขอบเขตบริการ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริการระหว่างประเทศ เช่น พัฒนาระบบงานคลังสินค้าครบวงจร บริการ document warehouse พัฒนา การขนส่งสินค้าเข้าคลัง Amazon FBA พัฒนาการขนส่งสินค้าแบบ Virtual Address
และปรับธุรกิจบริการดิจิทัล รองรับการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจและสังคม สนับสนุนส่งเสริมธุรกิจอื่น ๆ ของไทยให้เติบโตตามแนวทาง Connecting-the-dots เช่น Prompt POST ระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร ที่มีจุดเด่นทั้ง Digital Postbox ตัวกลางในการรับส่งเอกสารหรือข้อมูลออนไลน์ระหว่างหน่วยงานกับหน่วยงาน และหน่วยงานกับประชาชน เชื่อถือได้ D/ID ซึ่งเป็น Post ID ส่วนบุคคลที่จะมีการเริ่มใช้จริงต้นปี 2568 ด้วยระบบ QR CODE ที่จะเป็นทางเลือกการจ่าหน้า ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลระหว่างการจัดส่งสิ่งของ ให้บริการครอบคลุมด้วยหน่วยงานปลายทางโดยอัตโนมัติ Postman Cloud ที่ใช้บุรุษไปรษณีย์กว่า 25,000 คนทั่วประเทศในการให้บริการ Postman as a Service เช่น การเก็บข้อมูล รับส่งสิ่งของแบบ Point to Point และ Matching เชื่อมโยง Demand กับ Supply พัฒนาแพลตฟอร์ม e-marketplace โครงการ Virtual bank ให้บริการสินเชื่อกับประชาชน สามารถทำธุรกรรมฝากถอนเงินได้ที่สาขาของไปรษณีย์ทั่วประเทศ
ตลอดจนการออกแบบบริการเฉพาะกลุ่ม เช่น บริการไปรษณีย์ตอบรับในประเทศทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-AR) บริการ Pick up Service สำหรับกลุ่ม e-marketplace ขยายจุด Drop Off ผ่านเครือข่ายพันธมิตร
ภายในปี 2568 ไปรษณีย์ไทยปักธงครองส่วนแบ่งการตลาด 30%
–

