Trends / เพราะกติกาเข้าใจง่าย เล่นกันเป็นทีมในจำนวนที่พอดี และเปิดโอกาสคนหมู่มากไปร่วมชมรอบ ๆ สนามได้ ฟุตบอลจึงเป็นหนึ่งกีฬายอดนิยม และมีแข่งกันหลายระดับในแทบทุกประเทศทั่วโลก โดยมีฟุตบอลโลกชายเป็นสุดยอดทัวร์นาเมนต์ของกีฬาประเภทนี้
ปี 2026 ฟุตบอลโลกชายเวียนมาถึงอีกครั้ง ในเวอร์ชั่นทวีคูณ แต่ครั้งต่อไปในอีก 4 ปีถัดไป ยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีก ทั้งเรื่องจำนวนเจ้าภาพที่ FIFA อนุมัติไปแล้ว และประเด็นที่แฟนบอลรอลุ้นกัน โดยหากทั้งหมดได้ไฟเขียว คงทำให้ทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์โลกวงการลูกหนังคึกคักขึ้นอีกหลายต่อหลายเท่า
ในการประชุม FIFA ครั้งล่าสุดเมื่อ 5 มีนาคมที่ผ่านมา อิ๊กนาซิโอ้ อลอนโซ่ ประธานสมาคมฟุตบอลอุรุกวัย เสนอให้เพิ่มจำนวนทีมชาติที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกปี 2030 เป็น 64 ทีม

ซึ่งบอร์ดบริหารและ จิอานนี่ อินฟาติโต้ ประธาน FIFA ก็รับปากว่าจะรับไปพิจารณาอย่างรอบคอบ ร่วมกับประเด็นอื่น ๆ ที่บรรดาชาติสมาชิกได้เสนอกันมา
เรื่องนี้มีความน่าสนใจ เพราะเป็นการเสนอโดยประเทศแรกที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดฟุตบอลโลกชาย และประเทศแรกที่คว้าแชมป์
นอกจากนี้ ยังจะได้เป็นหนึ่งในเจ้าภาพร่วมของฟุตบอลโลกปี 2030 และในปี 2030 ถือเป็นวาระครบรอบ 100 ปีในการจัดฟุตบอล ซึ่ง FIFA ก็ได้เฉลิมฉลองด้วยการเพิ่มเจ้าภาพเป็น 6 ประเทศ
ที่ประกอบไปด้วยเจ้าภาพหลัก 3 ประเทศคือ สเปน, โปรตุเกส และโมร็อกโค โดยมี อุรุกวัย ปารากวัย และอาร์เจนตินา ได้รับเกียรติให้กระจายไปเตะในสนามสำคัญ ๆ ประเทศละหนึ่งนัด ซึ่ง ณ จุดนี้หมายความว่าจะเป็นฟุตบอลโลกชายครั้งแรกที่จัดกันใน 3 ทวีป คือยุโรป แอฟริกา และอเมริกาใต้
ส่วนถ้า FIFA อนุมัติให้ทีมที่ผ่านไปเล่นรอบสุดท้ายเพิ่มเป็น 64 ทีม ย่อมเป็นไปได้สูงที่จำนวนแมตช์ซึ่งมาเตะใน 3 ประเทศอเมริกาใต้จะเพิ่มขึ้น พร้อมโอกาสของทีมชาติที่ไม่เคยผ่านเข้ารอบสุดท้ายเลยจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจาก 64 ทีมที่เพิ่มมานั้นคิดเป็นกว่า 1 ใน 4 ของ 211 ประเทศสมาชิกของ FIFA เลยทีเดียว

อีกประเด็นที่น่าสนใจเช่นกัน หากจำนวนทีมผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกชายเพิ่มเป็น 64 ทีมคือ สปอนเซอร์ที่อยากเข้ามามีส่วนร่วมกับการแข่งขัน ก็คงเพิ่มจากฟุตบอลโลกชายปี 2026 ที่มากถึง 18 แบรนด์ ซึ่งก็หมายถึงเม็ดเงินมหาศาลที่ FIFA จะได้ โอกาสในโปรโมตที่บรรดาแบรนด์จะได้ไป และเงินที่สะพัดทางเศรษฐกิจในบรรดาประเทศเจ้าภาพด้วยนั่นเอง
ทว่าก็มีประเด็นใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้ เพราะ FIFA ก็ต้องกระจายเงินสนับสนุนให้แต่ละประเทศที่ได้เป็นเจ้าภาพ และทีมชาติทั้ง 64 ทีมที่ได้เข้ารอบมา
นอกจากนี้ FIFA ยังต้องเป็นตัวกลางในการประสานเรื่องการเดินทางโดยเฉพาะของทีมชาติทุกทีม ที่ไขว้ไป-มาระหว่าง 3 ทวีป ดูแลความเรียบร้อยและระบบโลจิสติกส์ ตลอดระยะเวลาตลอดทัวร์นาเมนต์ที่จะเพิ่มเป็น 6 สัปดาห์
จนบรรดานักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอาจวิจารณ์ได้ว่า ทำร้ายโลก เพราะจะเป็นกิจกรรมที่ทำให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนในการเดินทางและการขนส่ง (Carbon footprint) อย่างมหาศาล
สำหรับฟุตบอลโลกจัดมาแล้ว 22 ครั้ง โดยครั้งแรกในปี 1930 อุรุกวัยเป็นเจ้าภาพ มีทีมที่ผ่านมาถึงรอบสุดท้ายเพียง 13 ทีม และในครั้งต่อมาที่อิตาลีเป็นเจ้าภาพก็บวกเพิ่มมาอีก 3 เป็น 16 ทีม
แต่ฟุตบอลโลกชายครั้งต่อมา คือในปี 1938 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ เกิดปัญหาขึ้นมากมาย เริ่มจากการไม่ขอเข้าร่วมแข่งขันของกลุ่มประเทศทวีปอเมริกา เพราะไม่พอใจที่ประเทศยุโรปได้เป็นเจ้าภาพอีก สหรัฐฯ อุรุกวัย เม็กซิโก และอาร์เจนติน่า จึงคว่ำบาตรไม่มาร่วมแข่งขัน
ตามด้วยออสเตรียถูกผนวกเข้าไปอยู่ในปกครองของเยอรมนี และสเปนจมอยู่สงครามกลางเมือง จึงต่างขอถอนตัว ส่งผลทำให้ ทีมชาติที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายลดลงเหลือ 15 ทีม
หลังเว้นไปถึง 12 ปีฟุตบอลก็กลับมาอีกครั้งในปี 1950 โดยมีบราซิลเป็นเจ้าภาพ แต่กลายเป็นว่าวุ่นวายก็ครั้งไหนๆ เพราะ 2 แกนนำกลุ่มประเทศฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือเยอรมนีและญี่ปุ่น ถูกฝ่ายสัมพันธมิตร ยึดครองอยู่จึงไม่สามารถมาแข่งขันได้
นอกจากนี้ ยังเกิดการถอนตัวของหลายประเทศ โดยประเทศจากเอเชียกับยุโรป ถอนตัวไปเพราะปัญหาค่าเดินทาง ส่วนกลุ่มประเทศอเมริกาถอนตัวเพราะขัดแย้งกับสมาคมฟุตบอลบราซิล จึงทำให้ทีมชาติที่ผ่านเข้ามาแข่งรอบสุดท้าย เหลือเพียง 13 ทีม เท่ากับฟุตบอลโลกครั้งแรก
แต่ครั้งต่อมาในปี 1954 ที่ สวิตเซอร์แลนด์ เป็นเจ้าภาพ สถานการณ์โลกก็สงบสุข และปลอดปัญหาใดๆ จนจำนวนทีมชาติที่ผ่านเข้ามาแข่งขัน กลับมาเพิ่มเป็น 16 อีกครั้ง และใช้ในฟุตบอลโลกต่อมาอีกหลายครั้ง
พอข้ามมาถึงปี 1982 ที่สเปนเป็นเจ้าภาพ จำนวนทีมชาติที่ผ่านมาถึงรอบสุดท้ายก็เพิ่มเป็น 24 ทีม

จำนวนดังกล่าวใช้ในฟุตบอลอีกหลายครั้ง จนปี 1998 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพก็เพิ่มเป็น 32 ทีม และในปี 2026 ที่สหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโกเป็นเจ้าภาพร่วมกัน FIFA ไฟเขียวเพิ่มเป็น 48 ทีม ส่วนครั้งถัดไปในปี 2030 ยังต้องติดตามกันต่อไปว่า FIFA จะเพิ่มอีกครั้งเป็น 64 ทีมตามที่อุรุกวัยได้เสนอหรือไม่/theguardian, wikipedia, espn, reuters
–
