Fed คือใคร ทำไมองค์กรนี้จึงอยู่เบื้องหลังทุกจังหวะของเศรษฐกิจโลก

ทุกครั้งที่มีข่าวเกี่ยวกับการขึ้นภาษีศุลกากร หรือการกีดกันทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นมาตรการตอบโต้จากสหรัฐฯ ต่อจีน หรือการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้าใดก็ตาม เรามักเห็นตลาดหุ้นผันผวนทันที ราคาน้ำมันเหวี่ยง หรือแม้แต่ค่าเงินต่างประเทศขยับตัวแรง

เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ของใหม่ มันคือวัฏจักรที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเวทีเศรษฐกิจโลก การปรับขึ้นภาษีถูกใช้เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ บ้างก็ว่าทำไปเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ บ้างก็เพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการเจรจาระหว่างประเทศ

มาตรการทางภาษีแบบนี้ดูเป็นนโยบายที่ “เล่นใหญ่” เป็นด่านหน้าที่สร้างภาพให้เห็นชัดว่า รัฐบาลกำลัง “ลงมือทำอะไรสักอย่างกับเศรษฐกิจ” และผู้คนจำนวนไม่น้อยก็มักมองว่ามันคือแรงสั่นสะเทือนหลักของระบบเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ

แต่ในเงามืดของความเคลื่อนไหวเหล่านี้ ยังมีองค์กรหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในสปอตไลท์ ไม่ปรากฏตัวในพาดหัวข่าวทุกวัน แต่มีอิทธิพลลึกซึ้งต่อทิศทางของเศรษฐกิจโลกอย่างไม่มีใครเทียบได้ องค์กรนั้นคือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่รู้จักกันในชื่อเต็ม คือ  “Federal Reserve System” หรือ “Fed”

Fed ไม่ได้ขึ้นภาษี ไม่ได้ออกนโยบายการค้า ไม่ได้ไปเปิดโต๊ะเจรจากับประเทศใด แต่ทุกครั้งที่ Fed ขยับนโยบายทางการเงิน เช่น การขึ้นหรือลดดอกเบี้ย มันกลับสร้างผลกระทบที่แทรกซึมไปถึงทุกมุมของตลาดโลก ตั้งแต่ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัท ไปจนถึงราคาสินค้าในมือของผู้บริโภคธรรมดา

ในขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปยังภาษีศุลกากรและเกมการเมืองระหว่างประเทศ ใครกันแน่ที่เป็นคนถือพวงมาลัยของเศรษฐกิจโลก? คำตอบคือ Fed  พระรองผู้ไม่ส่งเสียง แต่เปลี่ยนจังหวะการเต้นของระบบเศรษฐกิจได้เพียงแค่ขยับปลายนิ้ว

และนี่คือเรื่องราวของ Fed  องค์กรที่แม้จะอยู่หลังม่าน แต่ก็เป็นผู้กำกับจังหวะเศรษฐกิจของทั้งโลกได้อย่างแท้จริง

 Fed คือใคร? ทำไมไม่ใช่แค่ธนาคาร

เมื่อเราลองหลับตานึกถึงคำว่า “ธนาคาร” ภาพแรกที่คนทั่วไปมักนึกถึงคือสถานที่ที่เราสามารถเปิดบัญชี ฝากเงิน หรือขอกู้เพื่อซื้อบ้านสักหลัง แต่ถ้าเราลองพูดถึง “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” หรือ “Federal Reserve System” (ที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า Fed) หลายคนอาจเริ่มงง มันเป็นธนาคารแบบไหนกันแน่?

คำตอบคือ… Fed ไม่ได้ทำธุรกิจกับคนธรรมดาแบบเราเลย

คุณไม่สามารถเปิดบัญชีเงินฝากหรือเดินเข้าไปกู้เงิน ได้ เพราะFedไม่ใช่ธนาคารในความหมายที่เราเคยชิน แต่คือ “เครื่องมือทางเศรษฐกิจระดับประเทศ” ที่ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมทั้งระบบการเงิน (ทำหน้าที่คล้าย ๆ กับ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ)

ประวัติความเป็นมาและการก่อตั้ง

ในปี 1913 ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน ได้ลงนามในกฎหมายพระราชบัญญัติธนาคารกลาง (Federal Reserve Act) ซึ่งก่อตั้งระบบธนาคารกลางแห่งแรกของประเทศขึ้นมาเพื่อส่งเสริมเสถียรภาพทางการเงิน

ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน ผู้ลงนามใน พ.ร.บ. ธนาคารกลาง : Wikipedia

 

7 เดือนต่อมา คณะกรรมการจัดตั้งธนาคารกลาง (Reserve Bank Organization Committee – RBOC) ประกาศรายชื่อเมืองและเขตที่ได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งของธนาคารกลางทั้ง 12 แห่ง โดยแต่ละธนาคารได้เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 1914

เช่นเดียวกับธนาคารกลางแห่งที่หนึ่งและที่สองของสหรัฐฯ ใบอนุญาตเริ่มแรกของธนาคารกลางทั้ง 12 แห่งถูกกำหนดให้หมดอายุในปี 1934 หรือ 20 ปีหลังจากการเปิดดำเนินการ อย่างไรก็ตาม สภาคองเกรสไม่เพียงแต่ต่ออายุใบอนุญาตของธนาคารกลางก่อนกำหนดถึง 7 ปี แต่ยังได้ขยายอายุใบอนุญาตให้มีผลอย่างถาวรอีกด้วย

ในช่วงปลายทศวรรษ 1910 และต้นทศวรรษ 1920 ธนาคารกลางบางแห่งได้เปิดสำนักงานสาขาภายในเขตของตนเพื่อช่วยดำเนินการระบบการชำระเงิน เช่น การเคลียร์เช็คและการแจกจ่ายเงินสด เมืองบางแห่งที่เคยยื่นอุทธรณ์ต่อการตัดสินใจของ RBOC เพื่อพยายามให้ธนาคารกลางถูกย้ายไปตั้งที่อื่น ต่อมาก็ได้กลายเป็นที่ตั้งของสำนักงานสาขาของธนาคารกลางประจำเขตนั้น

ในช่วง 20 ปีแรก ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีความเป็นอิสระมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พระราชบัญญัติธนาคารปี 1935 ได้รวมศูนย์ระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ และได้โอนอำนาจการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินไปยังคณะกรรมการผู้ว่าการ นอกจากนี้ยังทำให้คณะกรรมการผู้ว่าการมีความเป็นอิสระจากกระทรวงการคลังมากขึ้น

ในปี 1977 มีการปรับโครงสร้างเพิ่มเติม เมื่อพระราชบัญญัติการปฏิรูประบบธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve Reform Act) มีผลบังคับใช้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบของ Fed ต่อรัฐสภา และเป็นการอธิบายวัตถุประสงค์ของธนาคารกลางให้ชัดเจน รวมถึงเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การคัดเลือกผู้อำนวยการของธนาคารกลางประจำเขต การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อเพิ่มความรับผิดชอบในช่วงทศวรรษ 1970 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดภาวะ “stagflation” หรือภาวะเงินเฟ้อสูงและการว่างงานสูงพร้อมกัน

ในปีเดียวกันนั้น พระราชบัญญัติการลงทุนเพื่อชุมชน (Community Reinvestment Act) ก็ได้รับการบังคับใช้ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ธนาคารให้บริการชุมชนรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง (LMI) ได้ดีขึ้น จากกฎหมายดังกล่าว ทำให้ธนาคารต้องได้รับการประเมินผลสาธารณะผ่านคะแนน CRA จากหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารของรัฐบาลกลาง รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งทำหน้าที่ประเมินว่าแต่ละธนาคารตอบสนองต่อความต้องการสินเชื่อของชุมชน LMI ได้มากน้อยเพียงใด

3 ปีต่อมา ในปี 1980 พระราชบัญญัติการปลดล็อกข้อจำกัดของสถาบันรับฝากเงินและการควบคุมด้านการเงิน (Depository Institutions Deregulation and Monetary Control Act) ได้รับการลงนามให้เป็นกฎหมาย กฎหมายฉบับสำคัญนี้ได้ยกเลิกการควบคุมสถาบันรับฝากเงิน และมุ่งปรับปรุงการควบคุมนโยบายการเงินของธนาคารกลาง

ก่อนหน้านี้ สถาบันรับฝากเงินประสบกับข้อเสียเปรียบจากการที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากถูกจำกัด โดยกฎหมายตั้งแต่เมื่อครั้งเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังเริ่มเก็บค่าบริการจากธนาคารสมาชิกในบริการต่าง ๆ ที่ให้ เช่น การเก็บรักษาเงินสด การเคลียร์เช็ค และการจัดเก็บเช็ค

ภายใต้แรงกระตุ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (Great Recession) พระราชบัญญัติ Dodd–Frank จึงได้รับการประกาศใช้ในปี 2010 ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแล และจัดการล้มละลายของธนาคารและสถาบันอื่น ๆ อย่างมีระบบ เพื่อปกป้องผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมความหลากหลายของชนกลุ่มน้อยและสตรี (Office of Minority & Women Inclusion) ขึ้น เพื่อดูแลประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายในด้านการบริหารงาน การจ้างงาน และกิจกรรมทางธุรกิจ

อาคารเอ็กเคิลส์ (Eccles Building) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของธนาคารกลางสหรัฐฯ : Wikipedia

 

ตั้งแต่นั้นมา Fedมีภารกิจหลักอยู่ 3 ข้อใหญ่ ๆ ที่ยังใช้มาจนถึงปัจจุบัน

  1. รักษาเสถียรภาพของราคา หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ คุมเงินเฟ้อไม่ให้พุ่งแรงเกินไป
  2. ดูแลการจ้างงานให้ใกล้ระดับเต็มที่  อยากให้คนมีงานทำมากที่สุดเท่าที่เศรษฐกิจจะรับไหว
  3. คุมดูแลระบบการเงินให้มีเสถียรภาพ  ไม่ให้เกิดฟองสบู่หรือวิกฤตการณ์การเงินซ้ำซาก

Fedทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร? เครื่องมือที่ใช้ก็ไม่ใช่อะไรลึกลับเลย คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่เรามักเห็นในข่าวว่า “Fedขึ้นดอกเบี้ย” หรือ “Fedคงดอกเบี้ยไว้” อัตราดอกเบี้ยนี้เปรียบได้กับวาล์วควบคุมความร้อนของระบบเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจร้อนเกินไป เงินเฟ้อพุ่ง ค่าใช้จ่ายของคนสูงขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ Fedก็จะขึ้นดอกเบี้ยให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจชะลอลงเล็กน้อยเพื่อคลายความร้อน

ในทางกลับกัน ถ้าเศรษฐกิจเย็นเกินไป มีคนตกงานเยอะ การใช้จ่ายหดตัว → Fedจะลดดอกเบี้ย กระตุ้นให้มีการใช้จ่ายและลงทุนมากขึ้น

จะเห็นว่า Fedทำหน้าที่เหมือนผู้ควบคุมอุณหภูมิของทั้งระบบเศรษฐกิจ คอยรักษาสมดุลระหว่าง “ร้อนเกินไป” กับ “เย็นเกินไป” ให้พอดีต่อการเติบโตระยะยาว

และเพราะเงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักของโลก สิ่งที่Fedตัดสินใจจึงไม่ได้ส่งผลแค่ในสหรัฐฯ แต่สะเทือนไปถึงทุกประเทศที่ต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ การลงทุน และตลาดทุน

ดังนั้น Fedไม่ใช่แค่ธนาคารและยิ่งไม่ใช่พระรองธรรมดา ๆ แต่เป็นผู้ที่ “อยู่หลังม่าน” ของเวทีเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดจังหวะให้เศรษฐกิจเต้นตามทำนองที่เขาเลือก

โครงสร้างของ Fed

แม้ชื่อ “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” จะฟังดูเหมือนเป็นองค์กรเดียวที่รวมศูนย์อำนาจไว้ทั้งหมด แต่ความจริงแล้วโครงสร้างของ Federal Reserve System นั้นถูกออกแบบให้ กระจายอำนาจ อย่างชาญฉลาด เพื่อสะท้อนเสียงของประชาชนจากทุกภูมิภาคของประเทศ ไม่ใช่แค่จากกรุงวอชิงตัน

ระบบนี้มีทั้งส่วนที่เป็นศูนย์กลางทางนโยบาย และส่วนที่เป็นกลไกปฏิบัติการในระดับภูมิภาค โดยทุกส่วนทำงานร่วมกันภายใต้เป้าหมายเดียวกันนั่นก็คือ รักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ

โครงสร้างจึงประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่

  1. คณะกรรมการผู้ว่าการ (Board of Governors)  ทำหน้าที่กำหนดนโยบายในระดับประเทศ
  2. ธนาคารกลางสาขาภูมิภาค (Federal Reserve Banks)  ดำเนินงานในแต่ละเขตทั่วประเทศ
  3. คณะกรรมการตลาดเสรี (Federal Open Market Committee : FOMC) ทำหน้าที่กำหนดทิศทางของอัตราดอกเบี้ยและปริมาณเงินในระบบ

ในส่วนต่อไป เราจะไปทำความรู้จักกับแต่ละองค์ประกอบให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าใครทำหน้าที่อะไร และทำไมโครงสร้างแบบนี้ถึงช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยืดหยุ่นและเข้มแข็งมาได้กว่าร้อยปี

คณะกรรมการผู้ว่าการ (Board of Governors)

ส่วนประกอบหลักหนึ่งคือ คณะกรรมการผู้ว่าการ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 7 คน โดยจะต้องได้รับการเสนอชื่อโดยประธานาธิบดี และผ่านการรับรองจากวุฒิสภา เพื่อดำรงตำแหน่ง

สมาชิกคณะกรรมการมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี ซึ่งตำแหน่งสำคัญของFedประกอบด้วย ประธานคณะกรรมการ (Chair), รองประธาน (Vice Chair) และรองประธานฝ่ายกำกับดูแล (Vice Chair for Supervision) จะถูกแต่งตั้งจากสมาชิกคณะกรรมการชุดเดิม และจะดำรงตำแหน่ง วาระละ 4 ปี

หน้าที่ของคณะกรรมการผู้ว่าการคือ

  • กำหนดนโยบายการเงินบางส่วน เช่น ข้อกำหนดเงินสำรอง (Reserve Requirements)
    ซึ่งเป็นเกณฑ์ว่าธนาคารแต่ละแห่งต้องถือเงินสดไว้เท่าไร เพื่อรองรับภาระผูกพันของตน
  • กำหนด อัตราดอกเบี้ยพิเศษ (Discount Rate) ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ Fed ใช้เมื่อปล่อยกู้ให้สถาบันการเงินขนาดใหญ่

กฎหมายของสหรัฐฯ ยังระบุชัดว่า ประธานของFed ต้องไปให้การต่อสภาคองเกรสปีละ 2 ครั้ง เพื่อรายงานเกี่ยวกับ “ความพยายาม กิจกรรม เป้าหมาย และแผนงาน” ของFed รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม

 

สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (Board of Governors of the Federal Reserve System) ชุดปัจจุบัน

 

โดยสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ ชุดปัจจุบันประกอบไปด้วย

  • Jerome Powell – ประธาน (Chair)

Jerome H. Powell ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ มีหน้าที่นำและประสานงานการดำเนินนโยบายการเงิน ควบคุมดูแลระบบธนาคาร และเป็นตัวแทนของธนาคารกลางในการสื่อสารกับสาธารณะและหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศ

Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ : Reuters

  • Philip Jefferson – รองประธาน (Vice Chair)

Philip N. Jefferson ในฐานะรองประธาน ทำหน้าที่สนับสนุนประธานในการกำหนดและดำเนินนโยบายการเงิน รวมถึงกำกับดูแลกิจกรรมต่าง ๆ ของธนาคารกลาง

  • Michael Barr – รองประธานฝ่ายกำกับดูแล (Vice Chair for Supervision)

Michael  Barr รับผิดชอบด้านการกำกับดูแลสถาบันการเงิน ดูแลให้ธนาคารและสถาบันการเงินอื่น ๆ ปฏิบัติตามกฎระเบียบและมีความมั่นคงทางการเงิน

  • Michelle Bowman – ผู้ว่าการ (Governor)

Michelle Bowman มีบทบาทในการกำหนดนโยบายการเงินและกำกับดูแลสถาบันการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธนาคารขนาดเล็กและชุมชนท้องถิ่น

  • Lisa Cook – ผู้ว่าการ (Governor)

Lisa  Cook มีหน้าที่ร่วมในการกำหนดนโยบายการเงินและสนับสนุนการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและผลกระทบของนโยบายต่าง ๆ

  • Adriana Kugler – ผู้ว่าการ (Governor)

Adriana Kugler มีบทบาทในการวิเคราะห์และประเมินสภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงสนับสนุนการดำเนินนโยบายที่ส่งเสริมการจ้างงานและเสถียรภาพทางการเงิน

  • Christopher Waller – ผู้ว่าการ (Governor)

Christopher Waller ทำหน้าที่ในการกำหนดและดำเนินนโยบายการเงิน ตลอดจนสนับสนุนการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจเพื่อประกอบการตัดสินใจด้านนโยบาย

ทั้ง 7 คนนี้ทำหน้าที่ในคณะกรรมการที่กำหนดทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ และตัดสินใจเรื่องสำคัญทางเศรษฐกิจผ่านการประชุม FOMC (Federal Open Market Committee)

 ธนาคารกลางสาขาภูมิภาค (Federal Reserve Banks)

ธนาคารกลางภูมิภาค (Reserve Banks) ทำหน้าที่เสมือนเป็น “สาขา” ของระบบธนาคารกลางทั้งหมด แต่เดิมนั้นธนาคารเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายให้สามารถดำเนินงานได้อย่างอิสระ ทั้งในด้านนโยบายและอัตราดอกเบี้ยที่ตั้งขึ้นเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เริ่มซับซ้อนมากขึ้นและเชื่อมโยงกันทั่วประเทศ รัฐบาลจึงออกกฎหมายใหม่ในช่วง ทศวรรษ 1930 และ 1980 เพื่อให้ธนาคารเหล่านี้ประสานงานกันได้ดียิ่งขึ้น และสอดคล้องกับคณะกรรมการกลางมากขึ้น

ในปัจจุบันธนาคารกลางภูมิภาคแต่ละแห่งมีหน้าที่ดำเนินนโยบายตามที่คณะกรรมการผู้ว่าการของFed กำหนด และกำกับดูแลสถาบันการเงินในเขตของตนอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การให้ใบอนุญาต ไปจนถึงการตรวจสอบกิจการของธนาคาร

ตัวอย่างของงานในแต่ละวันของธนาคารกลางภูมิภาค ได้แก่

  • ปล่อยกู้ให้ธนาคารทั่วไป
  • ดูแลบัญชีของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
  • ประมวลผลและเคลียร์เช็ค
  • แจกจ่ายธนบัตรและเหรียญใหม่ให้ธนาคาร
  • รับธนบัตรที่ชำรุด หรือธนบัตรปลอมเพื่อนำไปทำลาย

แม้ว่าธนาคารภูมิภาคเหล่านี้จะไม่ได้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายการเงินโดยตรง แต่พวกเขาทำหน้าที่จัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังส่วนกลาง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจของคณะกรรมการ FOMC ที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในด้านนโยบาย

ระบบนี้ถูกออกแบบให้มีลักษณะ “กระจายอำนาจ” โดยเจตนา เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของFed คำนึงถึงความต้องการของชุมชนจากทั่วประเทศ เมื่อวางนโยบายระดับชาติ

สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะถูกควบคุมโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ในภูมิภาคของตน : Business Insider

คณะกรรมการตลาดเสรี (Federal Open Market Committee หรือ FOMC)

องค์ประกอบสำคัญลำดับที่สามของระบบFed และถือว่าเป็นหน่วยที่มีอิทธิพลมากที่สุด ก็คือ คณะกรรมการตลาดเสรี (FOMC)

คณะกรรมการชุดนี้ถูกจัดตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษ 1930 โดยประกอบด้วยสมาชิกที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งหมด 12 คน ได้แก่

  • สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการทั้ง 7 คน
  • ประธานธนาคารกลางนิวยอร์ก
  • ประธานจากธนาคารกลางภูมิภาคอื่น ๆ อีก 4 แห่ง (จากทั้งหมด 11 แห่งที่เหลือ) ซึ่งจะสลับกันเข้าร่วม

FOMC มีการประชุมอย่างน้อยปีละ 8 ครั้ง เพื่อตรวจสอบสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ประเมินความเสี่ยงต่อการเติบโต และที่สำคัญที่สุดคือ บริหารจัดการอัตราดอกเบี้ยFed Funds Rate ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่ส่งผลกว้างขวางต่อระบบการเงิน

ภาพการประชุมของคณะกรรมการตลาดเสรี หรือ FOMC :Fed

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Fed Funds Rate หรือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารใช้ในการปล่อยกู้หรือกู้ยืมเงินซึ่งกันและกัน ภายใต้ข้อกำหนดของFed ทุกธนาคารจะต้องถือเงินสำรองไว้บางส่วน เพื่อรองรับการถอนเงินของลูกค้า ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันภาวะตื่นตระหนกหรือการถอนเงินพร้อมกันเป็นวงกว้าง หรือที่เรียกว่า Bank Run

หากธนาคารแห่งใดมีเงินสำรองไม่พอ ก็จะต้องกู้เงินจากธนาคารที่มีสำรองเกิน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในกระบวนการนี้ก็คือFed Funds Rate นั่นเอง

การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนี้ถือเป็นภารกิจสำคัญที่สุดของFed เพราะส่งผลเป็นลูกโซ่ไปถึงต้นทุนทางการเงินของประชาชน ไม่ว่าจะเป็น

  • อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
  • ดอกเบี้ยบัตรเครดิต
  • ผลตอบแทนจากบัญชีออมทรัพย์หรือใบฝากเงิน (CD)

เวลาที่มีข้อความเตือนบนโทรศัพท์ หรือผู้ประกาศข่าวพูดว่า “Fedปรับลดดอกเบี้ยในวันนี้” นั่นคือการกระทำของ FOMC นั่นเอง

นอกจากนี้ FOMC ยังมีหน้าที่ในการทำ “Open Market Operations” หรือการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดเปิด เพื่อปรับอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับเป้าหมายเศรษฐกิจ เช่น

  • ช่วงก่อนวิกฤตการเงิน FOMC ใช้เครื่องมือนี้ในการควบคุมFed Funds Rate
  • หลังวิกฤตการเงิน FOMC ใช้มาตรการนี้เพื่อดันอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ต่ำใกล้ศูนย์ เพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

สภาที่ปรึกษาของ Fed (Federal Advisory Council)

Fed ยังมีหน่วยงานที่เรียกว่า สภาที่ปรึกษา (Federal Advisory Council) ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากภาคธนาคาร 12 คน โดยมีหน้าที่

  • ให้คำปรึกษาและเสนอแนะต่อคณะกรรมการผู้ว่าการในทุกเรื่องที่อยู่ในขอบเขตอำนาจของ Fed
  • จัดประชุมอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง ตามที่ระบุไว้ในกฎหมายธนาคารกลาง

บทบาทหลักของ Fed กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ (และโลก)

ในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ราคาน้ำมันพุ่ง เงินเฟ้อพุ่ง หรือหุ้นร่วง สิ่งแรกที่นักลงทุน นักธุรกิจ และรัฐบาลทั่วโลกจะถามก็คือ

“Fedจะทำอะไรต่อ?”

เพราะไม่ใช่แค่อเมริกาเท่านั้นที่ได้รับผลจากการตัดสินใจของ Fed แต่เกือบทุกประเทศบนโลกนี้ล้วนได้รับอิทธิพลไปด้วยแบบเลี่ยงไม่ได้

ลองมาดูกันว่า Fed มีเครื่องมือในการควบคุมทิศทางของเศรษฐกิจอะไรบ้าง และแต่ละอย่างมันส่งผลอย่างไรกับเศรษฐกิจในภาพรวม

1. อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Interest Rate)

นี่คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดของFed พูดง่าย ๆ ก็คือการกำหนด “ราคาของเงิน” ว่าใครกู้ไปใช้ต้องจ่ายดอกเบี้ยเท่าไร

  • ถ้าFedลดดอกเบี้ย → เงินกู้ถูกลง → คนซื้อบ้าน บริษัทลงทุน ผู้บริโภคใช้จ่ายมากขึ้น → เศรษฐกิจขยายตัว
  • ถ้าFedขึ้นดอกเบี้ย → เงินกู้แพงขึ้น → คนชะลอการใช้จ่าย บริษัทระวังตัว → เศรษฐกิจชะลอตัวเพื่อลดแรงกดดันจากเงินเฟ้อ

เปรียบเสมือนเบรกกับคันเร่งของรถยนต์  ซึ่ง Fed เป็นคนเหยียบอยู่ตลอด

2. การจัดการปริมาณเงินในระบบ (Quantitative Easing/QT)

ช่วงวิกฤต เช่น ปี 2008 หรือช่วงโควิด-19 Fedใช้มาตรการ “Quantitative Easing” หรือ QE ก็คือการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบโดยการ “พิมพ์เงิน” ซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือสินทรัพย์การเงินขนาดใหญ่

  • ทำให้ธนาคารมีเงินมากขึ้น → ปล่อยกู้ง่ายขึ้น → คนมีเงินใช้มากขึ้น → กระตุ้นเศรษฐกิจ

แต่เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวและเริ่ม ร้อนแรง” เกินไป Fedก็จะทำสิ่งตรงข้าม เรียกว่า “Quantitative Tightening” หรือ QT หรือก็คือ การดูดเงินกลับมาเพื่อลดความร้อนของตลาด

3. การส่งสัญญาณต่ออนาคต (Forward Guidance)

สิ่งที่น่าสนใจคือ Fed ไม่จำเป็นต้อง “ทำอะไรทุกครั้ง” บางทีประธานFedแค่ “พูด” ก็ทำให้ทั้งตลาดสะเทือนแล้ว

เช่น การพูดในที่ประชุมว่า “Fedยังคงกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และพร้อมจะขึ้นดอกเบี้ยถ้าจำเป็น”
ประโยคเดียวนี้ก็อาจทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวทันที นักลงทุนรีบปรับพอร์ต หรือค่าเงินเปลี่ยนทิศได้เลย นี่คือพลังของ “น้ำเสียง” ซึ่งFedใช้อย่างรอบคอบมาก เพราะรู้ว่าคำพูดของตนมีผลสะเทือนวงกว้าง

4. Fed กับเศรษฐกิจโลก

อย่าลืมว่า “เงินดอลลาร์” คือสกุลเงินที่มีผู้ใช้และผู้ถือครองมากที่สุดในโลก สินค้าสำคัญอย่างน้ำมัน ทองคำ หรือสินค้าทุนส่วนใหญ่ ล้วนซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์ ดังนั้น ทุกการขยับดอกเบี้ยของFedจะส่งผลต่อ

  • ค่าเงินดอลลาร์ → ทำให้ประเทศอื่นต้องปรับตัวตาม
  • เงินทุนไหลเข้า-ออกประเทศเกิดใหม่
  • ภาระหนี้ที่กู้เป็นดอลลาร์ในหลายประเทศ

พูดง่าย ๆ คือ… Fed ไม่ใช่แค่ธนาคารกลางของอเมริกา แต่เป็น “ธนาคารกลางของโลก” โดยพฤตินัย

เมื่อเรารู้จักเครื่องมือเหล่านี้แล้ว จะเห็นว่า Fed คือ “ผู้ควบคุมจังหวะการเต้นของเศรษฐกิจ” จังหวะนั้นอาจไม่หวือหวา ไม่ตื่นเต้นแบบข่าวขึ้นภาษีหรือข้อตกลงทางการค้า แต่มันคือจังหวะที่กำหนดว่าความมั่งคั่งของคนทั้งโลกจะขึ้นหรือจะลง และนั่นคือเหตุผลที่โลกจับตา Fed ทุกครั้งที่เขากะพริบตา

เมื่อรัฐบาลขึ้นภาษี แต่ Fed ต้องเตรียมเบรก

ในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ นโยบายเศรษฐกิจไม่ได้มาจากแหล่งเดียว รัฐบาลเองก็มีเครื่องมือของตัวเอง เช่น การเก็บภาษี การใช้จ่ายงบประมาณ หรือการกำหนดกฎเกณฑ์การค้า ขณะที่ธนาคารกลางอย่าง Fed ก็มีเครื่องมือของตัวเอง เช่นกัน  ไม่ว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยหรือปริมาณเงินในระบบ

ทั้งสองฝั่งนี้เปรียบได้กับ “คนขับ” และ “ระบบเบรกอัตโนมัติ” ที่บางครั้งก็ทำงานประสานกัน แต่บางครั้งก็อาจต้องสวนทางเพื่อรักษาสมดุลของรถคันเดียวกัน  รถคันนี้มีชื่อว่า “เศรษฐกิจ”

ลองนึกภาพตามแบบนี้ว่า เมื่อรัฐบาลตัดสินใจ “ขึ้นภาษีศุลกากร” กับสินค้านำเข้าจากประเทศใดประเทศหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นในเชิงตรงไปตรงมาก็คือ ราคาของสินค้านำเข้าก็จะขยับปรับตัวสูงขึ้น เพราะต้นทุนถูกผลักไปยังผู้บริโภค เมื่อสินค้าแพงขึ้น เงินเฟ้อมีโอกาสขยับขึ้นตาม

ยิ่งถ้ามาตรการภาษีมุ่งปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและมีแรงจูงใจทางการเมืองร่วมด้วย ราคาสินค้าภายในก็อาจพุ่งตามไปอีก แล้วFedล่ะ? ต้องทำยังไง?

Fed ไม่ได้นิ่งดูดาย เพราะหนึ่งในหน้าที่หลักของFedคือ “ควบคุมเงินเฟ้อ” เมื่อเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้นจากมาตรการภาษี ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม Fedก็ต้อง “เตรียมเบรก” โดยการพิจารณาขึ้นดอกเบี้ย เพื่อชะลอการใช้จ่าย และรักษาเสถียรภาพราคา

ในเชิงระบบแล้ว มันเหมือนกับว่ารัฐบาลเหยียบคันเร่งด้วยมาตรการภาษี แต่Fedต้องเตรียมเหยียบเบรกไว้ไม่ให้เครื่องยนต์ร้อนเกินไป

จริง ๆ สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ช่วงที่สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการภาษีกับสินค้าจีนในปี 2018–2019 ราคาสินค้าหลายประเภทขยับขึ้นทันที ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อทำให้ Fed ต้อง “พิจารณาขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น” แม้ว่าตอนนั้นเศรษฐกิจยังเติบโตได้ดี

แต่ปัญหาคือ… ทุกครั้งที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ย ไม่ใช่แค่เงินเฟ้อเท่านั้นที่ชะลอลง ตลาดหุ้นก็พลอยผันผวนตามไปด้วย เพราะต้นทุนของธุรกิจเพิ่มขึ้น กำไรก็ลดลง นักลงทุนเริ่มกังวล

พูดง่าย ๆ ก็คือ นโยบายการค้าอาจดูเข้มแข็งในสายตาประชาชน แต่นโยบายการเงินของ Fed ต้องเข้ามาจัดระเบียบผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นแบบเงียบ ๆ

นี่คือหนึ่งในความท้าทายของการ “ร่วมสังเวียน” กันระหว่างรัฐบาลกับธนาคารกลาง สองหน่วยงานที่มีเป้าหมายคล้ายกันคือรักษาเสถียรภาพของประเทศ แต่บางครั้งก็ต้องเดินคนละจังหวะ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสมดุลที่สุด

เพราะ Fed ขยับ โลกสะเทือน

สมมุติถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัทในเวียดนามเป็นนักลงทุนในบราซิลหรือแม้แต่เป็นคนไทยธรรมดาที่กำลังผ่อนบ้านอยู่เชื่อหรือไม่ว่า การประชุมของคณะกรรมการ Fed ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อาจมีผลกับชีวิตคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว

ฟังดูเกินจริงไปหน่อยไหม? ไม่เลยครับ เพราะในโลกที่เชื่อมโยงกันทุกมิติแบบทุกวันนี้ การขยับนโยบายการเงินของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในพรมแดนอเมริกา แต่สามารถสะเทือนเศรษฐกิจทั้งโลกได้ในระดับที่หลายประเทศต้อง “ตั้งรับล่วงหน้า”

●      เงินดอลลาร์แข็ง = โลกต้องปรับตัว

หนึ่งในผลกระทบแรกที่มักตามมาหลังจากFedขึ้นดอกเบี้ยคือ ค่าเงินดอลลาร์แข็งตัว

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ก็เพราะว่าเมื่อดอกเบี้ยสูง = คนก็อยากถือเงินดอลลาร์เพื่อเอาไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดี เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ผลก็คือเงินไหลเข้าประเทศ ส่งผลให้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น

พอเงินดอลลาร์แข็ง

  • ประเทศอื่นที่มีหนี้เป็นดอลลาร์ (เช่น ประเทศเกิดใหม่หลายแห่ง) ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้น
  • ผู้นำเข้าสินค้าที่ตั้งราคาเป็นดอลลาร์ (น้ำมัน, วัตถุดิบ) ก็ต้องจ่ายแพงขึ้นเช่นกัน
  • ค่าขนส่งและต้นทุนของบริษัทต่างชาติพุ่งตามมาเป็นเงา

 

  • เงินทุนไหลกลับสหรัฐฯ

อีกหนึ่งผลกระทบจากการที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ย คือ เงินทุนจากประเทศกำลังพัฒนาไหลกลับสหรัฐฯ

นึกภาพง่าย ๆ นักลงทุนทั่วโลกเหมือนฝูงนกที่กำลังบินหาที่ลงจอดปลอดภัย เมื่อFedขึ้นดอกเบี้ย → สหรัฐฯ กลายเป็น “รังที่น่าสนใจ” → เงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ → ตลาดหุ้นประเทศเหล่านั้นร่วง หรือค่าเงินอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว

เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่เกิดมาแล้วหลายรอบ เช่น

  • วิกฤตค่าเงินในตุรกี
  • ความเปราะบางของเศรษฐกิจอาร์เจนตินา
  • รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่เคยเผชิญกับแรงขายจากต่างชาติหลังFedขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้ง

●      ภาวะ “ส่งออกชะลอทั่วโลก”

การที่เงินดอลลาร์แข็ง ยังส่งผลต่อเนื่องไปถึง “ภาคการส่งออก” ของหลายประเทศเพราะเมื่อค่าเงินของประเทศอื่นอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ราคาสินค้าของพวกเขาดูถูกลงในตลาดโลกก็จริง แต่ในอีกมุมหนึ่ง ผู้บริโภคอเมริกันก็ต้องใช้จ่ายมากขึ้นเมื่อซื้อสินค้าต่างประเทศ ทำให้เมื่อราคาสินค้าแพงขึ้นความต้องการสินค้าก็ลดลง ส่งผลต่อไปยังการส่งออกของประเทศคู่ค้าชะลอตัว ส่งผลให้เกิดผลกระทบทางอ้อมก็เกิดขึ้นเป็นทอด ๆ

คนที่อยู่ในวงการการเงินน่าจะยังจำปี 2013 ได้ดี  ช่วงที่ Fed แค่ “เปรย” ว่าจะลดการอัดฉีด QE ตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลกก็ร่วงระนาวเหตุการณ์นั้นกลายเป็นตำนานชื่อว่า “Taper Tantrum”

จะเห็นว่า บางทีFedยังไม่ทันลงมือทำอะไรจริง ๆ แค่ “พูด” ว่าอาจจะทำ… ตลาดทั้งโลกก็สะเทือนแล้ว เมื่อรวมทั้งหมดนี้เข้าไว้ด้วยกัน จะเห็นว่าการประชุมของFedไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย มันคือจังหวะก้าวของผู้ควบคุมเกมเศรษฐกิจโลกที่แม้จะพูดเบา แต่เสียงของเขาดังก้องไปถึงทุกทวีป

ลองนึกถึงละครเรื่องหนึ่งที่พระเอกเดินเรื่องอยู่หน้าฉาก พูดจาเสียงดัง มีฉากแอ็กชัน ดราม่า ครบสูตร… แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีตัวละครอีกคนหนึ่งที่ไม่พูดเยอะ ไม่ออกมาบ่อย แต่ทุกการกระทำของเขากลับเปลี่ยนทิศทางของทั้งเรื่องได้ในพริบตา

ในโลกของเศรษฐกิจโลก ตัวละครนั้นก็คือ Fed

Fedอาจไม่ใช่ตัวเอกในข่าวการเมือง ไม่ได้ออกนโยบายเศรษฐกิจที่สะเทือนใจคนดู แต่เขาคือผู้มีพลังในการเปลี่ยน “อุณหภูมิ” ของเศรษฐกิจทั้งระบบได้ด้วยการขยับเพียงเล็กน้อย

 ไม่พูดเยอะ… แต่ “คำพูด” มีราคาตลาดหุ้นเป็นเดิมพัน

มีเรื่องที่คนในแวดวงการเงินรู้กันดีว่า ทุกคำพูดของ ประธานFedอย่าง Jerome Powell หรือก่อนหน้านั้นอย่าง Ben Bernanke หรือ Janet Yellen ล้วนต้องผ่านการชั่งน้ำหนักอย่างรอบคอบ เพราะมันไม่ใช่แค่ “พูดไปอย่างงั้น” คำพูดบางคำพูด อาจทำให้ตลาดหุ้นบางประเทศร่วงหนักได้เลย เช่น

  • “เรายังไม่แน่ใจในเสถียรภาพของตลาดแรงงาน”
  • “เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่น่ากังวล”
  • หรือแม้แต่คำว่า “Uncertainty” เฉย ๆ

ก็สามารถทำให้ตลาดหุ้นร่วง ค่าเงินเปลี่ยนทิศ หรือผลตอบแทนพันธบัตรสะเทือนได้ทันที นี่คือสิ่งที่เรียกว่า พลังของการสื่อสารทางนโยบาย ที่Fedใช้เหมือนดาบสองคม พูดน้อย แต่ผลกระทบรุนแรง

Fed ไม่ได้วางแผนแค่ไตรมาสหน้า หรือรอบเลือกตั้งหน้าแต่คิดเป็นระบบระยะยาวในระดับ 2–5 ปี
เพราะเครื่องมือของFedอย่างดอกเบี้ยหรือปริมาณเงิน มักส่งผลช้า ต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลนี่จึงทำให้มอง “อนาคต” มากกว่า “ปัจจุบัน” ต่างจากรัฐบาลซึ่งมักโฟกัสผลลัพธ์ที่เร็วและจับต้องได้

และในบางครั้งจึงต้อง “ตัดสินใจสวนกระแส” เพื่อป้องกันความร้อนแรงหรือเยือกเย็นเกินไปของเศรษฐกิจ แม้จะขัดใจตลาดในระยะสั้นก็ตาม

เบื้องหลังฟองสบู่… ก็มี Fed อยู่เสมอ

ลองมองย้อนกลับไปในวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ ๆ ในอดีต

  • ฟองสบู่ดอทคอม (ปี 2000)
  • วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (ปี 2008)
  • ความผันผวนของตลาดหลังโควิด-19

ทุกครั้งที่เกิดวิกฤต จะมีคำถามว่า “Fedปรับนโยบายช้าเกินไปไหม?” หรือ “ปล่อยให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไปหรือเปล่า?”

แม้จะไม่ใช่ผู้ก่อเหตุโดยตรง แต่ก็มักจะอยู่ในตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบในการ “ปิดฉาก” หรือ “กู้สถานการณ์” ในท้ายที่สุดเสมอ นี่คืออีกหนึ่งความจริงที่ตอกย้ำว่า Fedคือผู้กำกับเกมที่แท้จริงในฉากเศรษฐกิจโลก

องค์กรที่เงียบ ไม่ออกสื่อบ่อย ไม่หาเสียงกับใคร แต่ทำให้ทั้งนักลงทุน ผู้นำประเทศ และบริษัทข้ามชาติต้องจับตาทุกคำพูด ทุกการประชุม องค์กรที่สามารถเปลี่ยนแปลงความมั่งคั่งของตลาดโลกภายในหนึ่งคืน หรือเปลี่ยนกระแสเงินลงทุนระหว่างประเทศเพียงเพราะ “บอกใบ้” ว่าอาจขึ้นดอกเบี้ย นี่คือพระรองผู้ไม่แย่งซีน แต่ทรงพลังเกินใคร

เมื่อมองดูภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในวันนี้ เราจะเห็นผู้เล่นมากมายที่พยายามผลักดัน เปลี่ยนแปลง หรือแม้แต่ควบคุมทิศทางของเกม ไม่ว่าจะเป็นผู้นำประเทศ ผู้ออกนโยบายการคลัง รัฐมนตรีเศรษฐกิจ หรือแม้แต่ประธานาธิบดีผู้มีวาทะเร้าใจและนโยบายสุดโต่ง

แต่ในเงามืดของเวทีนั้น มีอีกหนึ่ง “นักแสดง” ที่อาจไม่โผล่หน้ามาให้เห็นบ่อย ๆ ไม่พูดเสียงดัง ไม่ใช้คำหวือหวา แต่ทุกย่างก้าวของเขากลับทำให้ทั้งโลกต้องหยุดฟัง ธนาคารกลางสหรัฐฯ

Fedไม่ใช่คนที่ออกมาประกาศขึ้นภาษี ไม่ใช่ผู้ไปเจรจาข้อตกลงการค้า ไม่ใช่ผู้เขียนนโยบายประชานิยมที่ปลุกเร้า แต่คือผู้ดูแลสมดุลของทั้งระบบเศรษฐกิจ เขาคือคนถือพวงมาลัยในขณะที่คนอื่นอาจกำลังแข่งกันตีกลองบนเวที

โลกในวันนี้ซับซ้อนเกินกว่าจะมีพระเอกคนเดียว และนั่นแหละคือเสน่ห์ของระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกัน  ไม่มีใครควบคุมทุกอย่างได้ลำพัง ภาษี อาจเป็นเครื่องมือทางการเมืองแต่นโยบายดอกเบี้ยคือเครื่องมือของความนิ่ง รัฐบาลอาจมีอำนาจด่วน แต่Fedคือพลังเงียบที่กำหนดโครงสร้างระยะยาว

เมื่อเรารู้จักFedมากขึ้น เราจะเริ่มเห็นว่าการขึ้นหรือลดดอกเบี้ย 0.25% ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข
แต่คือสัญญาณ คือจังหวะ และคือพลังที่เปลี่ยนแปลงกระแสของเศรษฐกิจทั้งโลกได้อย่างไม่รู้ตัว

และในโลกที่ความไม่แน่นอนเป็นเรื่องปกติบางที พระรองอย่างFedก็อาจสำคัญกว่าพระเอกที่เปลี่ยนบทได้ทุกสัปดาห์


เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ


อ้างอิง

https://www.investopedia.com/articles/economics/08/federal-reserve.asp

https://www.federalreserve.gov/monetarypolicy/fomc.htm

https://www.investopedia.com/terms/f/federalreservebank.asp

https://www.atlantafed.org/about/publications/fed-structure-and-functions/functions

https://www.businessinsider.com/personal-finance/investing/what-is-the-federal-reserve

https://www.stlouisfed.org/in-plain-english/history-and-purpose-of-the-fed

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer