แม้จะครองบัลลังก์น้ำอัดลมมายาวนาน แต่ทั้งโคคา-โคล่าและเป๊ปซี่ก็เคยพลาด ลองเสิร์ฟรสชาติใหม่ ๆ หวังเจาะกลุ่มผู้บริโภคหน้าใหม่หรือกระตุ้นตลาดให้คึกคัก ทว่าผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม หลายรสชาติเหล่านั้นถูกถอดออกจากตลาดอย่างรวดเร็ว บางตัวอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน และบางครั้งก็เกิดขึ้นในประเทศไทยเอง

บทความนี้จะพาไปดู 5 รสชาติของโคคา-โคล่า และ 5 รสชาติของเป๊ปซี่ ที่เคยวางจำหน่ายแล้วล้มเหลว พร้อมที่มาและบทเรียนที่ตามมา

5 รสชาติของโคคา-โคล่า ที่ไม่ถูกจริตผู้บริโภค

1.New Coke (1985)
โคคา-โคล่าพยายามปรับสูตรให้หวานขึ้นใกล้เคียงเป๊ปซี่ แต่ผลคือแฟนคลับทั่วอเมริกาประท้วงจนต้องรีบนำสูตรเดิมกลับมา ผลลัพธ์นี้กลายเป็นกรณีศึกษาคลาสสิกของ “อย่าทำให้แบรนด์เสียเอกลักษณ์”

2.Coca-Cola BlāK (2006)
โคคา-โคล่าผสมกาแฟ หวังตีตลาดคนทำงานที่ชอบกาเฟอีน แต่รสชาติถูกวิจารณ์ว่า “ขมแต่ไม่กลมกล่อม” วางขายแค่ปีเดียวก่อนหายไปจากชั้นวาง

3.Coca-Cola Raspberry (2005)
วางจำหน่ายในนิวซีแลนด์และบางประเทศในยุโรป โดยหวังเจาะกลุ่มคนชอบผลไม้ แต่รสชาติราสป์เบอร์รี่กลับถูกมองว่า “กลิ่นปรุงแต่งจัดเกินไป” ทำให้เลิกผลิตในไม่ช้า

4.Coca-Cola Orange (2007)
ผสมโค้กกับส้ม ฟังดูน่าสนใจแต่รสชาติกลับขัดกันอย่างแรง แทนที่จะสดชื่น กลับถูกมองว่า “เหมือนน้ำยาล้างห้องน้ำ” จึงไม่สามารถอยู่รอดในตลาดได้นาน

5.Coca-Cola Clear Lime (2018)
เปิดตัวในญี่ปุ่นและวางขายในไทยช่วงสั้น ๆ จุดขายคือ “ไม่มีสี” และรสไลม์เบา ๆ แต่กลับถูกวิจารณ์ว่าไม่ให้ความรู้สึกเหมือนโค้กเลยแม้แต่น้อย ผู้บริโภคสับสนและยอดขายไม่ถึงเป้า

5 รสชาติของเป๊ปซี่ ที่ต้องจากไปก่อนเวลาอันควร

1.Pepsi Blue (2002)
รสเบอร์รีสีฟ้าสดสะดุดตา เปิดตัวในหลายประเทศรวมถึงไทย แต่กลายเป็นที่วิจารณ์ในเรื่องสีและรสชาติที่ “หวานเกินรับได้” จึงถูกยกเลิกภายใน 2 ปี

2.Pepsi Ice และ Pepsi Fire (2004)
วางขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงไทย Pepsi Ice ให้ความเย็นสดชื่น ส่วน Pepsi Fire เผ็ดเล็กน้อยเหมือนมีพริก แต่ทั้งสองรสก็ไม่สามารถทำตลาดได้ยาวนาน เนื่องจากผู้บริโภคมองว่า “แปลกแต่ไม่น่าซื้อซ้ำ”

3.Pepsi Cappuccino (2006)
วางขายในยุโรปและเอเชีย เป็นความพยายามของเป๊ปซี่ในการจับกลุ่มคอกาแฟ แต่รสชาติโดยรวมไม่สมดุล ระหว่างความขมของกาแฟและความหวานของน้ำอัดลม

4.Pepsi Salted Caramel (2017)
ออกมาในช่วงเทศกาลปลายปีในสหรัฐฯ แต่เสียงตอบรับคือ “หวานจัดเกินไปจนเลี่ยน” และการจับคู่รสเค็ม-หวานก็ไม่ได้รับความนิยมในเครื่องดื่มอัดลม

5.Pepsi Pink (2011, ญี่ปุ่น)
เป๊ปซี่สีชมพู รส “สตรอว์เบอร์รี่นมเปรี้ยว” วางจำหน่ายแค่ช่วงฤดูหนาว ได้รับความสนใจในโซเชียลแต่กลับไม่สามารถแปลงเป็นยอดขายได้ สุดท้ายวางจำหน่ายเพียงปีเดียว

บทสรุป: รสชาติใหม่ไม่ใช่ทางลัดความสำเร็จ

ความล้มเหลวของรสชาติทั้ง 10 นี้ สะท้อนว่าแม้แต่แบรนด์ระดับโลกก็ยังต้องทดลองและเสี่ยงผิดพลาดในนวัตกรรม แม้จุดประสงค์คือสร้างความตื่นเต้นให้ตลาด แต่หากไม่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค หรือพัฒนาโดยไม่ยึดรสชาติหลักเป็นศูนย์กลาง ก็อาจทำให้ “ของใหม่” กลายเป็น “ของแปลกที่ไม่เวิร์ก”

หลายกรณีเหล่านี้ได้กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ทั้งโคคา-โคล่าและเป๊ปซี่กลับมาให้ความสำคัญกับการทดสอบตลาดมากขึ้น และเลือกเปิดตัวรสชาติใหม่ในช่วงเทศกาลหรือเขตทดลองก่อนตัดสินใจผลิตจริงในวงกว้าง

แม้ชื่อเสียงจะช่วยดึงคนให้ลองได้ครั้งแรก แต่รสชาติต่างหากที่จะตัดสินว่าพวกเขาจะกลับมาซื้ออีกหรือไม่

ซีรีส์ “สร้างมาให้ Fail”  มีด้วยกัน 12 Episodes

EP.1: Google+ : โซเชียลเน็ตเวิร์กที่ล้มเหลวสมบูรณ์แบบ

EP.2 : Microsoft Zune: ฝันใหญ่ของไมโครซอฟท์ที่พ่ายแพ้ให้กับ iPod

EP.3 : Skype โทรคุยข้ามโลกที่กลายเป็นเรื่องตกยุค

EP.4 : Segway จากนวัตกรรมเปลี่ยนโลก สู่บทเรียนธุรกิจราคาแพง

EP.5 : Samsung Galaxy Note 7 จากสมาร์ตโฟนในฝัน สู่ฝันร้ายทางเทคโนโลยี

EP.6 : Juicero: เครื่องคั้นน้ำผลไม้ 400 ดอลลาร์ที่ “คั้น” วงการสตาร์ทอัปจนพัง

EP.7 : Google Glass: นวัตกรรมสุดล้ำที่พังเพราะล้ำเกินไป

EP.8 : Bike Sharing ไปมาได้ทั้งโลก เมืองไทยจอดสนิท

EP.9 : Galaxy Gear ต้องล้มก่อน ถึงจะกลับมาใหญ่ได้

EP.10 : 5 รสชาติที่ไม่เวิร์กของโคคา-โคล่าและเป๊ปซี่ — เมื่อยักษ์น้ำดำสะดุดขวด


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer