1. ความเป็นมาของ Bike Sharing
Bike Sharing หรือระบบจักรยานสาธารณะเกิดขึ้นครั้งแรกในยุโรปช่วงปี 1960 โดยแนวคิดหลัก คือการให้ประชาชนสามารถใช้จักรยานร่วมกันเพื่อลดปัญหาการจราจรและมลพิษ ตัวอย่างแรกคือ White Bicycle Program ในอัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นโครงการทดลองที่ให้จักรยานฟรีแก่ประชาชน แต่ล้มเหลวเพราะจักรยานถูกขโมยและทำลาย
ต่อมาเทคโนโลยีที่ดีขึ้นช่วยให้ Bike Sharing พัฒนาไปสู่รูปแบบที่มีสถานีจอดจักรยาน (docked) และแบบไม่มีสถานี (dockless) โดยเฉพาะช่วงปี 2010 เป็นต้นมา จีนเป็นผู้นำในการผลักดันธุรกิจนี้จนขยายไปทั่วโลก
2. โมเดลการดำเนินงานของ Bike Sharing
Bike Sharing มีรูปแบบหลัก ๆ อยู่ 2 แบบ:
- Docked (มีสถานีจอด) เช่น Citi Bike ในนิวยอร์ก, Vélib ในปารีส
- Dockless (ไม่มีสถานีจอด) เช่น Mobike, Ofo จากจีน ที่ใช้ GPS และ QR Code ให้ผู้ใช้สามารถเช่าจักรยานและคืนที่จุดใดก็ได้
โมเดลธุรกิจมักใช้ แอปพลิเคชันมือถือ เป็นตัวกลาง ผู้ใช้จ่ายเงินผ่านแอปฯ เพื่อปลดล็อกจักรยาน โดยมีทั้งแบบจ่ายต่อครั้ง รายเดือน หรือผ่านการสนับสนุนจากรัฐบาล
3. ใครเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงาน
- เอกชน: บริษัท Startup เช่น Ofo, Mobike, Lime, และ Bird (ที่ภายหลังเพิ่มสกูตเตอร์ไฟฟ้า)
- รัฐบาลท้องถิ่น: หลายเมืองสนับสนุนโครงการ เช่น ปารีส ลอนดอน นิวยอร์ก มักใช้เงินภาษีหรือเงินสนับสนุนจากบริษัทโฆษณา
- ภาคธุรกิจ: หลายบริษัทให้การสนับสนุนด้านโฆษณา เช่น JCDecaux ที่ดูแลระบบ Vélib ในปารีส
4. การลงทุนและต้นทุนของธุรกิจ Bike Sharing
- ต้นทุนการผลิตและบำรุงรักษา: จักรยานต้องมีความทนทานและมีระบบล็อกอัจฉริยะ
- ต้นทุนดำเนินงาน: รวมถึงค่าพนักงาน ซ่อมบำรุง การจัดการจุดจอด และการเก็บจักรยานที่ถูกทิ้งไม่เป็นระเบียบ
- การลงทุนด้านเทคโนโลยี: ระบบ GPS, QR Code, แอปพลิเคชัน และ Data Analytics
โมเดลรายได้ มักมาจาก
- ค่าสมาชิกและค่าเช่าจักรยาน
- การโฆษณาบนจักรยานหรือสถานีจอด
- เงินสนับสนุนจากรัฐ
5. ทำไม Bike Sharing ถึงไม่ประสบความสำเร็จ?
แม้ว่า Bike Sharing จะดูเป็นไอเดียที่ดี แต่หลายโครงการกลับล้มเหลว ด้วยเหตุผลหลักดังนี้:
ปัญหาในต่างประเทศ
- การขาดความรับผิดชอบของผู้ใช้ – หลายครั้งจักรยานถูกทิ้งเรี่ยราด กีดขวางทางเดิน ทำให้เกิดปัญหาในเมือง
- ความเสียหายและการโจรกรรม – ในจีน บริษัท Ofo และ Mobike เจอปัญหาจักรยานถูกขโมยหรือทำลาย ส่งผลให้ต้นทุนพุ่งสูง
- ปัญหาด้านการเงิน – Startup หลายแห่งใช้เงินลงทุนมหาศาล แต่ไม่สามารถทำกำไรได้ ธุรกิจหลายรายปิดตัว เช่น Ofo ที่เคยเป็นยักษ์ใหญ่แต่ล้มละลาย
- การแข่งขันจากเทคโนโลยีอื่น – E-scooter และ Ride-sharing (Uber, Grab) กลายเป็นตัวเลือกที่สะดวกกว่า
- โครงสร้างพื้นฐานไม่รองรับ – หลายเมืองไม่มีเลนจักรยานที่ปลอดภัย ทำให้ประชาชนไม่กล้าใช้
ปัญหาในประเทศไทย
- โครงสร้างพื้นฐานไม่เอื้ออำนวย – ไทยมีเลนจักรยานจำกัดและไม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่การขี่จักรยานบนถนนใหญ่เป็นเรื่องอันตราย
- อากาศร้อนและมลพิษ – สภาพอากาศร้อนชื้นของไทยทำให้คนไม่อยากปั่นจักรยาน โดยเฉพาะช่วงกลางวัน
- การบริหารจัดการล้มเหลว – ตัวอย่างเช่น โครงการ Pun Pun Bike Share ที่เริ่มในกรุงเทพฯ แต่ปัจจุบันแทบไม่เหลือจักรยานให้ใช้ เพราะขาดการบำรุงรักษาและการโปรโมต
- พฤติกรรมของผู้ใช้ – คนไทยคุ้นเคยกับการใช้รถยนต์และมอเตอร์ไซค์มากกว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นเรื่องยาก
- ไม่มีแรงจูงใจจากภาครัฐและเอกชน – ภาครัฐไม่สนับสนุนอย่างจริงจัง ขณะที่เอกชนมองว่า Bike Sharing ไม่คุ้มค่าการลงทุน
6. สรุป: Bike Sharing จะไปรอดหรือไม่?
Bike Sharing ยังสามารถอยู่ได้ ในบางเมืองที่มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ เช่น ปารีส ลอนดอน โคเปนเฮเกน แต่ในประเทศที่ไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาลและขาดวัฒนธรรมการปั่นจักรยาน โครงการมักล้มเหลว
สำหรับไทย การทำให้ Bike Sharing ประสบความสำเร็จอาจต้องอาศัย การลงทุนจากภาครัฐ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการเปลี่ยนพฤติกรรมคนเมือง ซึ่งเป็นเรื่องท้าทาย
ประเทศที่ประสบความสำเร็จในโครงการ Bike Sharing
เนเธอร์แลนด์
ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของความสำเร็จในการใช้จักรยาน ไม่ใช่เพียงแค่ Bike Sharing แต่รวมถึงการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันของประชาชน เมืองสำคัญอย่างอัมสเตอร์ดัมและอูเทรคต์มีระบบ Bike Sharing ที่ใช้งานได้จริงและเป็นส่วนหนึ่งของระบบขนส่งมวลชน
สาเหตุที่ Bike Sharing ประสบความสำเร็จในเนเธอร์แลนด์คือการออกแบบเมืองที่เป็นมิตรกับจักรยาน เลนจักรยานแยกออกจากถนนสำหรับรถยนต์ ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ อีกทั้งประชาชนเองก็มีวัฒนธรรมการใช้จักรยานเป็นพาหนะหลักมาเป็นเวลานาน รัฐบาลยังส่งเสริมให้ประชาชนใช้จักรยานแทนรถยนต์เพื่อลดปัญหาการจราจรและมลพิษทางอากาศ
เดนมาร์ก
โคเปนเฮเกน เมืองหลวงของเดนมาร์ก ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองจักรยาน” ของโลก Bike Sharing ที่นี่ประสบความสำเร็จเนื่องจากรัฐบาลให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานสำหรับจักรยาน มีการสร้างทางจักรยานที่กว้างขวาง ปลอดภัย และแยกออกจากถนนหลัก ทำให้ผู้ใช้สามารถปั่นจักรยานได้อย่างสะดวก
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ Bike Sharing ได้รับความนิยมในเดนมาร์กคืออากาศที่เย็นสบาย ประชาชนสามารถใช้จักรยานเดินทางได้ตลอดปีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอากาศร้อน นอกจากนี้ โครงการจักรยานของรัฐและภาคเอกชนได้รับการสนับสนุนผ่านงบประมาณและการวางแผนเมืองที่ให้ความสำคัญกับการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ฝรั่งเศส
กรุงปารีสเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีระบบ Bike Sharing ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก Vélib’ Métropole เป็นโครงการจักรยานสาธารณะที่เริ่มต้นในปี 2007 และกลายเป็นโครงการต้นแบบที่เมืองอื่น ๆ นำไปปรับใช้ สาเหตุหลักที่โครงการนี้ประสบความสำเร็จมาจากการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นที่มีนโยบายลดการใช้รถยนต์และส่งเสริมการเดินทางด้วยจักรยาน
อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้โครงการ Bike Sharing ในปารีสได้ผลคือค่าจอดรถในเมืองที่สูงมาก ทำให้ประชาชนเลือกใช้จักรยานแทนรถยนต์เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ระบบขนส่งสาธารณะของปารีสยังออกแบบให้สามารถเชื่อมต่อกับจักรยานสาธารณะได้อย่างลงตัว
เยอรมนี
เมืองใหญ่ของเยอรมนี เช่น เบอร์ลิน มิวนิก และฮัมบูร์ก มีโครงการ Bike Sharing ที่ดำเนินการโดย Deutsche Bahn (บริษัทเดินรถไฟแห่งชาติของเยอรมนี) ภายใต้ชื่อโครงการ Call a Bike โครงการนี้ได้รับความนิยมเนื่องจากสามารถเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะได้เป็นอย่างดี โดยมีจุดจอดจักรยานกระจายอยู่ตามสถานีรถไฟและศูนย์กลางการคมนาคมสำคัญ
โครงสร้างพื้นฐานในเยอรมนีรองรับการใช้จักรยานอย่างมีประสิทธิภาพ มีเลนจักรยานที่ปลอดภัยและได้รับการดูแลอย่างดี อีกทั้งรัฐบาลและเอกชนมีการลงทุนต่อเนื่องในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้การใช้จักรยานสะดวกยิ่งขึ้น เช่น ระบบ GPS และแอปพลิเคชันที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาจักรยานและจุดจอดได้ง่าย
ปัจจัยที่ทำให้ Bike Sharing ประสบความสำเร็จ
1. โครงสร้างพื้นฐานที่ดี
เมืองที่ Bike Sharing ประสบความสำเร็จมักมีเลนจักรยานที่แยกออกจากถนนหลัก ลดอุบัติเหตุและเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้ ระบบการวางจุดจอดจักรยานที่เป็นระเบียบช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงจักรยานได้ง่าย
2. การสนับสนุนจากภาครัฐ
รัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการทำให้โครงการ Bike Sharing ดำเนินไปอย่างยั่งยืน ทั้งในเรื่องงบประมาณ การออกแบบเมือง และนโยบายลดการใช้รถยนต์ เมืองที่ประสบความสำเร็จมักมีมาตรการจูงใจ เช่น การลดค่าธรรมเนียมการใช้จักรยาน หรือการจำกัดพื้นที่จอดรถยนต์เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้จักรยานแทน
3. วัฒนธรรมการใช้จักรยาน
ในบางประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์และเดนมาร์ก จักรยานเป็นพาหนะหลักของประชาชนมานาน ทำให้การนำ Bike Sharing มาใช้ไม่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนมากนัก ขณะที่ในประเทศที่ประชาชนไม่คุ้นเคยกับการใช้จักรยาน อาจต้องใช้เวลาและมาตรการจูงใจเพิ่มเติม
4. เทคโนโลยีและการบริหารจัดการที่ดี
ระบบ Bike Sharing ที่มีประสิทธิภาพต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น การใช้ GPS และแอปพลิเคชันเพื่อให้ประชาชนสามารถเช่าหรือคืนจักรยานได้สะดวก นอกจากนี้ การบริหารจัดการที่ดี เช่น การดูแลรักษาจักรยานและการบริหารจุดจอดให้มีความสมดุล ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการอยู่รอด
5. การเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะ
เมืองที่ Bike Sharing ประสบความสำเร็จมักออกแบบให้จักรยานสามารถเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างราบรื่น เช่น การมีจุดจอดจักรยานใกล้สถานีรถไฟหรือป้ายรถเมล์ ทำให้ประชาชนสามารถใช้จักรยานเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางในชีวิตประจำวัน
สรุป
Bike Sharing สามารถประสบความสำเร็จได้ในประเทศที่มีการวางแผนเมืองที่รองรับการใช้จักรยาน เช่น เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส และเยอรมนี ปัจจัยที่ทำให้โครงการเหล่านี้สำเร็จมาจากการสนับสนุนของภาครัฐ โครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม และวัฒนธรรมของประชาชนที่ยอมรับจักรยานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การที่ Bike Sharing จะประสบความสำเร็จในประเทศอื่น ๆ จึงต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนปัจจัยเหล่านี้ให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่นั้น ๆ
เรื่อง: เอกพล ไอศวรรยธรรม
ซีรีส์ “สร้างมาให้ Fail” มีด้วยกัน 12 Episodes
EP.1: Google+ : โซเชียลเน็ตเวิร์กที่ล้มเหลวสมบูรณ์แบบ
EP.2 : Microsoft Zune: ฝันใหญ่ของไมโครซอฟท์ที่พ่ายแพ้ให้กับ iPod
EP.3 : Skype โทรคุยข้ามโลกที่กลายเป็นเรื่องตกยุค
EP.4 : Segway จากนวัตกรรมเปลี่ยนโลก สู่บทเรียนธุรกิจราคาแพง
EP.5 : Samsung Galaxy Note 7 จากสมาร์ตโฟนในฝัน สู่ฝันร้ายทางเทคโนโลยี
EP.6 : Juicero: เครื่องคั้นน้ำผลไม้ 400 ดอลลาร์ที่ “คั้น” วงการสตาร์ทอัปจนพัง
EP.7 : Google Glass: นวัตกรรมสุดล้ำที่พังเพราะล้ำเกินไป
EP:8 : Bike Sharing ไปมาได้ทั้งโลก เมืองไทยจอดสนิท
–
