สยามพิวรรธน์ พลิกเกมด้วยกลยุทธ์ Above the Ocean เพื่อก้าวต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน

สยามพิวรรธน์ดำเนินธุรกิจอยู่คู่กับประเทศไทยมายาวนานกว่า 63 ปี ผ่านวิกฤตมาทุกรูปแบบ โดยเฉพาะย่านสยามซึ่งเป็นสมรภูมิทางการค้าและสมรภูมิทุกชนิด แต่สามารถนำพาธุรกิจของคู่ค้าและร้านค้าทั้งหมดให้ผ่านพ้นทุกวิกฤตด้วยดีมาได้ทุกยุคสมัย ในช่วงสถานการณ์โควิดสยามพิวรรธน์เองก็ได้รับผลกระทบมากมายไม่ต่างจากธุรกิจอื่น ๆ แต่แน่นอนว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมาได้กลายเป็นอาวุธครบมือที่นำพาธุรกิจให้ก้าวข้ามวิกฤตครั้งนี้มาได้อย่างสง่างามอีกครั้งหนึ่ง

การที่ผู้บริหารจะต้องประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นทุกสถานการณ์เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่การพลิกเกมธุรกิจให้ก้าวไปสู่อนาคตได้เป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งกว่า แม่ทัพใหญ่แห่งกลุ่มสยามพิวรรธน์ ชฎาทิพ จูตระกูล ได้พิสูจน์ฝีมือในฐานะผู้นำที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่วิกฤตก็สามารถพลิกฟื้นทำกำไรให้กลับมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าวิกฤตโควิดครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน

ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์  ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ เปิดเผยว่า โควิดที่ผ่านมาสยามพิวรรธน์กลับมองว่าเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ และได้ใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากวิกฤตครั้งก่อน ๆ ผนวกกับการตัดสินใจปรับตัวปรับองค์กรอย่างรวดเร็วทำให้สามารถรับมือครั้งนี้ได้ ส่งผลให้ผลประกอบการใน 9 เดือนแรกของปี 2565 เติบโตมากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามา

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสยามพิวรรธน์ไม่ได้ตั้งเป้าอยากเป็นที่หนึ่งเรื่องจำนวนศูนย์การค้า และไม่ได้ปรารถนาเป็นที่หนึ่งเรื่องการครองตลาดให้มีพื้นที่ที่มากที่สุด แต่สยามพิวรรธน์กลับใช้กลยุทธ์ Top of Mind 4 ด้าน ที่นำพาธุรกิจให้ยืนหยัดมาได้เสมอถึงวันนี้ ได้แก่:

  1. ที่หนึ่งในใจผู้คน ไม่ใช่แค่เฉพาะคนไทยแต่เป็นของคนทั้งโลก ซึ่งเป้าหมายนี้เป็นจริงได้เมื่อสยามพารากอนติดอันดับ 6 บน Global Facebook เป็นสถานที่มีผู้เช็กอินมากที่สุดของโลก และยังเป็นสถานที่ที่มีคนเช็กอินมากที่สุดบน Instagram ทุกศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์ได้รับการโหวตจากนักท่องเที่ยวหลายประเทศว่าเป็นศูนย์การค้าที่พวกเขาชื่นชมมากที่สุดตลอดมา
  2. ที่หนึ่งในใจคู่ค้า สยามพิวรรธน์ยึดมั่นในหน้าที่ที่ต้องทำทุกวิถีทางที่จะทำให้คู่ค้าร้านค้านับหมื่นรายในศูนย์การค้าประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง มีบทพิสูจน์ว่าสามารถสร้าง traffic โดยรวมในศูนย์การค้าได้มากกว่า 100 ล้านคนต่อปี ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวมากกว่า 25 ล้านคน ส่งผลให้ร้านค้าหลายแบรนด์ที่เปิดสาขากับสยามพิวรรธน์มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ และแบรนด์จากต่างประเทศก็มียอดขายติดอันดับ TOP 10 ของโลกเมื่อเปรียบเทียบกับสาขาอื่น ๆ
  3. เป็นที่หนึ่งในใจพันธมิตรทางธุรกิจ ศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์ ไม่ใช่เพียงแค่ทำหน้าที่ค้าขายแต่ยังทำหน้าที่เป็นเวทีสร้างแบรนด์ สร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรมากมาย จับมือกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสร้างต้นแบบธุรกิจใหม่ ๆ ร่วมกันสร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้แก่ลูกค้าของพันธมิตรต่าง ๆ ตลอดมา
  4. เป็นที่หนึ่งของโลก เพราะศูนย์การค้าคือแม่เหล็กสำคัญที่เสริมสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้เป็น shopping paradise ที่จะดึงดูดคนทั้งโลก สยามพิวรรธน์จึงมุ่งมั่นสร้างโครงการที่จะแข่งขันกับโครงการใหญ่อื่น ๆ ทั่วโลก เพื่อสร้างความยอมรับนับถือในวงการศูนย์การค้าโลกและสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย ทุกศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์จึงคว้ารางวัลที่หนึ่งจากองค์กรระดับโลกมากกว่า 40 รางวัล ในสาขาต่าง ๆ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีศูนย์การค้าใดในประเทศและในภูมิภาคเอเชียได้รับรางวัลและเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากเช่นนี้

“เราไม่ได้มีศูนย์การค้าในหลายจังหวัดหรือทั่วประเทศแต่เรามีเพียง 4 ศูนย์การค้ากับอีก 1 Luxury Outlet Mall ที่ล้วนได้รับรางวัลชนะเลิศ เป็นที่ 1 ของโลกในสาขาต่าง ๆ จากองค์กรและสมาคมระดับโลกมากมาย อาทิ ด้านนวัตกรรมและการออกแบบ การปฏิวัติวงการค้าปลีก  ด้านการตลาดและสร้างประสบการณ์ระดับโลก การเป็นโครงการที่สนับสนุนธุรกิจรายย่อย SME ที่ดีที่สุด การเป็น green Leadership  การพัฒนาความยั่งยืน และการสร้างจุดหมายปลายทางที่เป็นที่ปรารถนามากที่สุดของคนทั่วโลก ทั้งหมดนี้ตอกย้ำว่าคนไทยสามารถทำได้ และในวันนี้ผู้พัฒนาศูนย์การค้าในประเทศต่าง ๆ อยากเดินทางมาเพื่อเรียนรู้จากเรา”

“เป้าหมายในการทำธุรกิจของสยามพิวรรธน์มิใช่เพื่อเรื่องผลตอบแทนเท่านั้น แต่เราต้องสร้างมิตรภาพเหนือกาลเวลากับคู่ค้าและพันธมิตร รางวัลชีวิตของพนักงานของเรา คือ การที่ได้เป็นบ้านหลังที่สองของผู้คน ดูแลและเติมเต็มความปรารถนาและประสบการณ์ชีวิตให้แก่ลูกค้าอย่างดีที่สุดในทุกสถานการณ์ และเป็นแพลตฟอร์มที่สร้างความสำเร็จให้กับคู่ค้าและพันธมิตร ด้วยกลยุทธ์และพันธสัญญาทั้งสิ้นนี้ ส่งผลให้ 7 ปีที่ผ่านมาสยามพิวรรธน์สามารถสร้างยอดขายเติบโตขึ้น 5 เท่า บริษัทย่อยของเราเติบโตจาก 32 บริษัทขึ้นมาเป็น 48 บริษัท ท่ามกลางวิกฤตโควิดเรายังสามารถเปิดธุรกิจใหม่ Siam Premium Outlets Bangkok ซึ่งเป็น luxury outlet mall แห่งแรกในประเทศไทยในกลางปี 2564 และพัฒนา Digital Platform ใหม่คือ ONESIAM SuperApp สำเร็จได้ภายใน 13 เดือน” นางชฎาทิพ จูตระกูล กล่าว

ความท้าทายภายหลังสถานการณ์โควิดเป็นสิ่งที่หลายองค์กรต่างขบคิดและเผชิญหน้าอยู่ เช่นเดียวกับ สยามพิวรรธน์ ที่วางกลยุทธ์ใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว

ผู้บริหารสยามพิวรรธน์กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อ 10 ปีก่อนสยามพิวรรธน์ได้เล็งเห็นถึงแนวโน้มการถูก disrupt จาก digital evolution จึงปรับกลยุทธ์ให้ทุกศูนย์การค้าสร้างคุณค่าและประสบการณ์ที่แตกต่างแต่โดนใจ สร้าง emotional engagement ด้วยกลยุทธ์ emotional marketing อีกทั้งได้เริ่มทำ digital transformation ภายในบริษัทต่อเนื่องมา และสร้าง data bank ข้อมูลทั้งหมดสำเร็จในต้นปี 2022 เมื่อเกิดวิกฤตโควิดจึงพร้อมที่จะรับมือและสร้าง digital platform เพื่อบริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว จากนี้ไปสยามพิวรรธน์จะพลิกเกมใหม่ด้วยแนวคิด Rise above and beyond คือ การสร้างกลยุทธ์ที่จะก้าวข้ามทุกความสำเร็จที่เคยทำได้ ก้าวข้ามทุกการเปลี่ยนแปลงของโลกไม่ว่าจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีหรือไม่ดี และท้ายสุดคือ ก้าวข้ามทุกความท้าทายให้ได้

กลยุทธ์ใหม่ของสยามพิวรรธน์ คือ การเปลี่ยนจาก Blue Ocean Strategy ไปสู่ Above the Ocean Strategy ซึ่งก็คือ กลยุทธ์ที่อยู่เหนือการเปลี่ยนแปลง โดยถอยตัวเองออกมาและมองธุรกิจในบริบทใหม่ ทำลายกรอบเดิม ๆ ในการทำธุรกิจให้หมดสิ้นไป พร้อมสรรค์สร้างสิ่งใหม่ ๆ บนคุณค่าที่เป็นต้นทุนของเราอย่างไม่มีข้อจำกัด ดำเนินธุรกิจโดยปราศจากคู่แข่งแต่เปี่ยมไปด้วยพันธมิตร ร่วมกันสร้าง Ecosystem เพื่อความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าและยั่งยืน สร้างโลกใหม่ที่ไร้พรมแดน และเปี่ยมด้วยโอกาสหลากหลายมิติ

สิ่งที่สยามพิวรรธน์จะทำต่อไปภายใต้ Above the Ocean Strategy คือ การต่อยอดจากการสร้างคุณค่าไปสู่มูลค่า

  1. ด้วยการแบ่งปันประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ทุกฝ่าย (Sharing Economy) ผ่าน ONESIAM SuperApp และ VIZ COINS
  2. ผนึกกำลังกับพันธมิตร (Co-Creation) สร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมาย ทั้ง Physical Platform และ Digital Platform เพื่อขยายสู่การรองรับ Global Citizen
  3. ร่วมมือเพื่อเติบโตไปด้วยกัน (Collaboration To Win) โดยสร้างระบบนิเวศแห่งความสำเร็จร่วมกับ 50 พันธมิตร 13 อุตสาหกรรมที่ได้เริ่มทำงานร่วมกันแล้ว
  4. สร้างความยั่งยืนผ่านทุกกระบวนการและในทุกธุรกิจที่ดำเนินการ (Sustainable Value In Process) เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันในทุกภาคส่วน ทั้งกับผู้คน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ สร้างนิยามและบุกเบิกธุรกิจใหม่ทั้งในรูปแบบ สินค้าบริการ และแพลตฟอร์ม ส่งเสริมให้เกิดโอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและส่งต่อโลกที่น่าอยู่ให้กับคนรุ่นหลังสืบต่อไป

“Above the Ocean Strategy ในแบบสยามพิวรรธน์จะทำให้เราสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนกับทุกภาคส่วน ทำให้เกิดผลกระทบเชิงบวกสู่สังคมชุมชน สิ่งแวดล้อม และเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำประเทศไทยสู่ความยิ่งใหญ่บนเวทีโลก” ชฎาทิพกล่าวทิ้งท้าย

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline



ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online