หากพูดถึงบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตอาหารแปรรูปและถนอมอาหารด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยอันดับต้น ๆ ในประเทศไทย หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อ พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด หรือ PFS ผู้นำการผลิตอาหารอบแห้งครบวงจร และผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ดรีมมี่ และไบท์มี

ล่าสุดกับการจัดงานฉลองครบรอบ 30 ปี “PFS’s 30 Years : SYNERGY OF SUCCESS” โชว์เคสนวัตกรรมสินค้า พร้อมเปิดตัวโลโก้ใหม่ และจัดงานเสวนาสำคัญ “คิดและปรับตัวกับทุกมิติที่เพื่อเข้าถึงแหล่งอาหารโลกอย่างยั่งยืนในอนาคต”

Marketeer พาไปทำความรู้จัก เจาะอินไซต์ความสำเร็จ และ Next Step ของ PFS ไปพร้อม ๆ กัน

จุดเริ่มต้นสู่ความสำเร็จของ PFS

บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี 1993 โดยคุณวรภาส มหัทธโนบล ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอาหารที่สามารถรักษาคุณค่าทางโภชนาการและยืดอายุของอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ พื้นฐานของPFSคือการนำเทคโนโลยีการอบแห้ง (Freeze Dry) มาใช้ในการแปรรูปอาหาร ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยถนอมอาหารให้คงรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการไว้อย่างเต็มที่ โดยเริ่มต้นจากการผลิตสินค้าประเภทผลไม้แห้งและอาหารแปรรูปอื่น ๆ ก่อนจะขยายไปสู่การผลิตสินค้าในหลากหลายหมวดหมู่

วรภาส มหัทธโนบล กรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงความสำเร็จ 3 ทศวรรษที่ผ่านมาในงานครั้งนี้ว่า

“30 ปีที่ผ่านมา PFSมุ่งมั่น ขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ ๆ ในเทคโนโลยีการถนอมอาหารอย่างต่อเนื่อง เราได้มุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพ การถนอมอาหารและมาตรฐานการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพันธมิตร และผู้บริโภคของเรา เราเชื่อมั่นว่าคุณภาพคือหัวใจสำคัญที่ทำให้เราเป็นผู้นำในการผลิตแบบครบวงจร ในอนาคต”

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดในรอบ 30 ปี

จากความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนนวัตกรรมการถนอมอาหารอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา PFSสามารถสร้างการเติบโตที่น่าทึ่งในด้านรายได้ โดยในปี ค.ศ. 2003 หรือช่วง 10 ปีแรกของการดำเนินธุรกิจ PFS สามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 397 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นก้าวที่มั่นคง

จากนั้นยอดขายของ PFS ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว จนถึงปี ค.ศ. 2010 ที่มีรายได้ถึง 1,332 ล้านบาท และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ 20 หรือปี ค.ศ. 2013 PFS สร้างยอดขายแตะ 2,272 ล้านบาท และล่าสุดในปี ค.ศ. 2024 สามารถทำรายได้ที่ 4,604 ล้านบาท

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจากกลยุทธ์ในการมุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ และการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการผลิตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์คู่ค้าอย่างแข็งแกร่งและยาวนาน

โลโก้ใหม่ สะท้อนวิสัยทัศน์สู่ทศวรรษที่ 4

ในโอกาสฉลองครบรอบ 30 ปี PFS ได้เปิดตัวโลโก้ใหม่ที่สื่อถึงการก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 อย่างแข็งแกร่ง โดยแนวคิดหลักในการออกแบบมาจากวิสัยทัศน์องค์กรที่มุ่งเป็น “ผู้ให้การดูแลด้วยหัวใจ” (Care Giver) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการถนอมบำรุงผู้คนให้มีสุขภาพเป็นหนึ่ง ควบคู่กับการใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนทั่วโลก

ที่น่าสนใจคือ การดีไซน์โลโก้ใหม่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมของแบรนด์ไว้ แต่ปรับให้ดูเรียบง่ายและทันสมัยยิ่งขึ้นด้วยการใช้กราฟิก ฟอนต์ และเทคนิคสีไล่โทน (Gradient) โดยทุกองค์ประกอบล้วนสื่อถึงคุณค่าหลักของ PFS ที่ยึดมั่นในการใช้ “หัวใจ” นำทางในทุกขั้นตอนการพัฒนานวัตกรรมการถนอมอาหาร ซึ่งเป็นปณิธานที่บริษัทยึดถือมาตลอด 30 ปี และจะก้าวต่อไปในอนาคตอย่างไม่หยุดยั้ง

นวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพและความยั่งยืน

ภายในงาน PFS ได้จัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ภายใต้แบรนด์ชั้นนำอย่าง Dreamy และ Bite Me โดยในปีนี้ PFS ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์กลุ่ม Health & Well-being ถึง 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่

  1. Bite Me Yogurt Smoothie Freeze Dry 3 สูตร ประกอบด้วย สูตร Vitamin C, Vitamin E และ Fiber
  2. Dreamy Fruit Tea with Stevia 5 รสชาติ ได้แก่ Apple, Yuzu, Peach, Mixed Berries และ Honey Lemon
  3. Dreamy Natural Oat Milk Creamer ซึ่งเป็นนวัตกรรมครีมเมอร์จากน้ำมันมะพร้าวและโปรตีนนมโอ๊ต

หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้PFSประสบความสำเร็จในตลาดคือการสร้างแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือและตอบโจทย์ผู้บริโภค โดยแบรนด์หลักของบริษัทที่เป็นที่รู้จักกันดีในตลาดคือ Dreamy และ Bite Me ซึ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ โดยแบรนด์เหล่านี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงนวัตกรรมและคุณภาพในการผลิต แต่ยังสร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภคในระยะยาว

นอกจากนี้ PFSยังให้ความสำคัญกับการตลาดและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งทำให้แบรนด์ของPFSสามารถขยายการเข้าถึงตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ก้าวต่อไปของ PFS สู่ทศวรรษที่ 4

ในโอกาสครบรอบ 30 ปี PFSได้ตั้งเป้าหมายในการก้าวไปสู่ทศวรรษที่ 4 ด้วยการตั้งเป้ายอดขายที่ 7,000 ล้านบาท ภายในปี 2030 ผ่านกลยุทธ์การขยายตลาดสู่ B2C และการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ในกลุ่ม Health & Well-being

โดย ภาณุ มหัทธโนบล ผู้จัดการทั่วไป ให้รายละเอียดว่า “ในการเริ่มต้นเข้าทศวรรษที่ 4 เราตั้งเป้ายอดขายเติบโต 7,000 ล้านบาท ภายในปี 2030 ด้วยกลยุทธ์การขยายตลาดที่เน้นกลุ่มลูกค้าแบบ B2C มากขึ้น โดยออกสินค้าใหม่ในกลุ่ม Health & Well-being เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่รักสุขภาพ ล่าสุดปีนี้ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ 3 กลุ่ม ได้แก่ Bite Me Yogurt Smoothie Freeze Dry 3 สูตร, Dreamy Fruit Tea with Stevia 5 รสชาติ และ Dreamy Natural Oat Milk Creamer เป็นครีมเมอร์จากน้ำมันมะพร้าวและโปรตีนนมโอ๊ต”

“กลยุทธ์หลักสำคัญมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตทั้ง Freeze dry และ Spray Dry พร้อมทั้งการเปิดสายการผลิตเพิ่มในกลุ่ม Frozen ด้วยเทคโนโลยี Individual Quick Frozen หรือ IQF และการผลักดัน R&D Technical Center เพื่อการวิจัยและพัฒนาสินค้า กลุ่มนวัตกรรม ที่สอดรับกับ Global Health and Sustainability Trend”

เสวนาเจาะลึก “Food Insecurity and The Next Chapter”

อีกไฮไลท์สำคัญของงานคือการเสวนาในหัวข้อ “Food Insecurity and The Next Chapter” ที่มุ่งหาแนวทางการคิดและปรับตัวกับทุกมิติที่ผู้บริโภคต้องการเพื่อเข้าถึงแหล่งอาหารโลกอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วิษุวัต สงนวล หัวหน้าภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคุณเชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ ร่วมเสวนา

ประเด็นการพูดคุยในงานได้กล่าวถึงวิกฤตการณ์ภาวะโลกร้อน ปรากฏการณ์เอลนินโญ่ และลานินญ่า ที่ส่งผลให้แหล่งอาหารตามธรรมชาติของมนุษย์ลดลง ในขณะที่จำนวนประชากรโลกกลับเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดความไม่มั่นคงทางอาหาร (Food Insecurity) ที่ค่อย ๆ เกิดขึ้น เช่นวิกฤตโกโก้ ที่มีแนวโน้มว่าอาจสูญพันธุ์เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ดังนั้น ภาคการผลิต เกษตร อุตสาหกรรม รวมถึงผู้คน จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วิษุวัต ได้ให้ความเห็นว่า เราควรจะเพาะปลูกอะไรจึงจะผลิตอาหารที่เลี้ยงประชากรโลกได้อย่างเพียงพอและไม่ทำร้ายโลกมากกว่านี้ ซึ่ง “ไข่น้ำ” หรือ “ผำ” พืชน้ำขนาดเล็ก อาหารพื้นบ้านไทยแต่โบราณที่อุดมไปด้วยสารอาหารคือคำตอบ แต่ถึงอย่างนั้น ผำเป็นอาหารที่มีอายุการเก็บรักษา (Shelf life) สั้น การนำนวัตกรรมแปรรูปอาหารมาปรับใช้คือกุญแจสำคัญของเรื่องนี้

นวัตกรรมการแปรรูปอาหารจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการถนอมและรักษาคุณค่าของทรัพยากรโลก เพื่อเป็นแหล่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ขณะที่PFSเองมีวิสัยทัศน์ ที่มุ่งพัฒนานวัตกรรมการผลิตอาหารเพื่อความยั่งยืนในอนาคต ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการแก้ปัญหา ความไม่มั่นคงด้านอาหาร (Food Insecurity) ของโลก

ความสำเร็จในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ทำให้PFSกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารอบแห้งที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการผลิตอาหารที่มีคุณภาพสูงและตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ในอนาคต PFS ตั้งเป้าหมายที่จะขยายการเติบโตในตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบรับกับเทรนด์สุขภาพและการบริโภคอย่างยั่งยืน รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตและการวิจัยและพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก

การฉลองครบรอบ 30 ปีของPFS ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงการเติบโตที่มั่นคงและความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาบริษัทสู่ความสำเร็จในทศวรรษหน้า

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer